วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ขายที่ดิน นครปฐม ราคาถูก ต.บางแขม


สิวารัตน์ 9 (บางกรวย-ไทรน้อย)
บ้านแฝด 36 ตร.ว. 2 ชั้น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ
ทาวน์โฮม 16 ตร.ว. 3 ชั้น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 
โทร. 097-449-6464, 086-341-5050


ที่ดินติดคลองชล สวยๆ

โทร.083-877-4102  บอย ที่ดิน นครปฐมราคาประหยัด

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ขายที่ดิน ตำบล บางแขม อ.เมือง จ.นครปฐม ตรว. 1,200 บาท

สิวารัตน์ 9 (บางกรวย-ไทรน้อย)
บ้านแฝด 36 ตร.ว. 2 ชั้น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ
ทาวน์โฮม 16 ตร.ว. 3 ชั้น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 
โทร. 097-449-6464, 086-341-5050


ขายที่ดินราคาประหยัด ติดคลองชล วิลสวยมาก

ถูกที่สุดใน นครปฐม ตำบล บางแขม


ติดต่อ 

คุณ บอย   โทร081-491-2347



การคำนวณแก้ไขฐานรากเสาเข็มเยื้องศูนย์ ส.ย. วิศวะกรรม ช่วยในการตัดสินใจในการทำงาน ดร.สมัย เหมมั่น

สิวารัตน์ 9 (บางกรวย-ไทรน้อย)
บ้านแฝด 36 ตร.ว. 2 ชั้น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ
ทาวน์โฮม 16 ตร.ว. 3 ชั้น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 
โทร. 097-449-6464, 086-341-5050












Design Tip  การคำนวณแก้ไขฐานรากเสาเข็มเยื้องศูนย์
 

ตอนที่ 2การคำนวณแก้ไขฐานรากเสาเข็มเยื้องศูนย์6 :
มุมนักออกแบบ : Design Tip โดย รศ.ดร.อมร พิมานมาศ @ TumCivil.com
(ที่มา :  โยธาสารปีที่ 23 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม-มีนาคม 2554 โดยได้รับอนุญาตจาก รศ.ดร.อมร พิมานมาศ) 
 ดาวน์โหลด pdf ได้ ที่นี่

หมายเหตุเพิ่มเติม

- เป็น Design Tip ในการออกแบบสำหรับเพื่อนๆวิศวกรนะครับ ดร.อมร จะทำออกเรื่อยๆ
- ถ้าท่านใดต้องการให้ทำเรื่องอะไรหรือหาข้อมูลเรื่องอะไรเป็นพิเศษ โพสต์มาเลยครับ
- ถ้าสมาชิกท่านใดให้ทางเว็บช่วยแก้ปัญหาพิเศษให้ หรือส่งบทความมาเผยแพร่ลองส่งมาครับที่ tumcivil@gmail.com

ดร.สมัย เหมมั่น MPA MBA DBA ให้ความสำคัญกับ ส.ย. (สามัญวิศวกรโยธา) ช่วยการบริหารโครงการ







ตัวอย่างข้อสอบ ส.ย. (สามัญวิศวกรโยธา) เวอร์ชั่นรวบรวมจำกันออกมา
 
สิวารัตน์ 9 (บางกรวย-ไทรน้อย)
บ้านแฝด 36 ตร.ว. 2 ชั้น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ
ทาวน์โฮม 16 ตร.ว. 3 ชั้น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 
โทร. 097-449-6464, 086-341-5050

ตัวอย่างข้อสอบ ส.ย. (สามัญวิศวกรโยธา) เวอร์ชั่นรวบรวม โดย สมาชิกเพื่อนวิศวกร
 คนสอบจำเอามา อยากนำมาเผยแพร่ให้เพื่อนวิศวกร ใช้วิธีการจำมานะครับ ไม่ได้แอบเอาข้อสอบออกมา
มีหลายวิชา วิชาปฐพีกลศาสตร์,วิชาโครงสร้าง,บริหารงานก่อสร้าง,วิศวกรรมสิ่งแวดล้อม,แหล่งน้ำ,สำรวจ,ขนส่ง


  ปล. รุ่นพิมพ์ได้อย่างเดียว พิมพ์ผ่านเว็บเลยนะครับ คลิกตรงรูป Printer ครับ

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ขายที่ ดินราคา ถูกมากๆ อ.เมือง จ.นครปฐม ตรว.11,500-

ขายที่ดิน จ.นครปฐม  ติดคลองชล  วิลสวยมากๆ

โทร 081-491-2346  บอย









ทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ นักปกครอง ยุค Global Management


Dr.Samai Hemman / ดร.สมัย เหมมั่น

ความคาดหวังจะอ้างอิงจากความคิดของคนไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือไม่  ขณะที่เครื่องมือเป็นสิ่งที่ได้รับระหว่างการกระทำและผลตอบแทนที่ตามมาเป็นตัวกำหนดโดยคุณค่าหรือผลที่ตามมาที่หลากหลาย  ทฤษฎีสันนิษฐานว่ามีเพียงปัจจัย 3 อย่าง  โดยมีพลังในการสร้างแรงจูงใจ (Vroom and Yetton 1973) ที่สร้างทฤษฎีโดยใช้ปัจจัย 4 อย่างดังต่อไปนี้


  1. คนจะมีคุณค่าจากผลที่ตามมาที่แตกต่างกัน (ระดับที่ 1 อย่างเช่น ผลที่ตามมาโดยทันทีจากการกระทำ หรือระดับที่ 2 อย่างเช่น ผลลัพธ์ในแต่ละคนหรือผลที่ตามมาซึ่งส่งผลต่อจากผลที่ตามมาในระดับแรก) หรือการเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
  2. คนจะคาดหวังเกี่ยวกับการกระทำและความพยายามที่นำไปสู่ผลที่ตามมาและเป้าหมายที่พึงพอใจ
  3. คนจะเข้าใจถึงพฤติกรรมที่แน่นอนซึ่งถูกติดตามโดยผลที่พึงปรารนาหรือผลตอบแทนที่ต้องการ
  4. การกระทำของคนเลือกที่จะกำหนดความคาดหวังและคุณค่าซึ่งแต่ละคนจะเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลา (Kakabasde et al.,2004)

ทฤษฎีความสมดุลย์
จากทฤษฏีผู้คนได้ค้นหาความสมดุลย์ระหว่างว่าอะไรที่พวกเขามี (อย่างเช่นความพยายาม ความซื่อสัตย์ ความไว้ใจ การยืดหยุ่น ความอดทน การสนับสนุน การตัดสินใจ) ในงานของเขาและอะไรที่เขาได้รับ (อย่างเช่น เงินเดือน  ชื่อเสียง  การฝึกอบรม การเลื่อนตำแหน่ง  ความรับผิดชอบ)จากงาน  ถ้าคนคิดว่าเป็นความเหมาะสมระหว่างสิ่งที่อยู่ภายในและสิ่งที่ได้ภายนอก  ต่อมาพวกาขาจะเกิดแรงจูงใจและลงมือทำงาน (Hollway, 1991) อย่างไรก็ตาม  ถ้าพวกเขาคิดว่ามีความไม่สมดุลย์ระหว่างสิ่งทั้งสอง  พวกเขาจะไม่กระตือรือร้นและตอบสนองในทางที่แตกต่างกันไป (ตัวอย่างเช่น พวกเขาจะมองหางานอื่นหรือลดความเอาใจใส่)

ทฤษฎีการตั้งเป้าหมาย
จากทฤษฎีนี้  โดยแต่ละบุคคลกำหนดเป้าหมายซึ่งเขาหรือเธอจะบรรลุตามที่เขาหรือเธอตัดสินใจหรือหาทางพยายามบรรลุเพื่อให้สำเร็จ  ทฤษฏีนี้แนะนำว่าเป้าหมายต่างๆ นั้นมุ่งไปสู่ความสนใจ  การหาทางพยายาม  การเพิ่มความอดทนในงานและการสร้างแรงจูงใจ  ตามที่ทฤษฎีกล่าวมา  ความท้าทาย (ยากดีกว่าพื้นๆ ) และมุ่งเน้นเฉพาะดีกว่าสับสนกำกวม  เป้าหมายต่างๆ นำไปสู่ระดับที่สูงกว่าของการปฏิบัติการณ์และการตัดสินใจเพื่อเกิดการยอมรับในเป้าหมายที่เป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำเนินงาน  ยิ่งไปกว่านั้นผลที่ได้จากการดำเนินงานจะต้องเพื่อเป้าหมายซึ่งมีผลที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลระหว่างปัจจุบันและความปรารถนา

ข้อผูกพันธ์  บ่อยครั้งที่ความแตกต่างระหว่าง HRM และ PM เป็นการมุ่งเน้นถึงความคิดเรื่องพันธสัญญา  อะไรเป็นพันธสัญญาและเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจได้อย่างไร  ความคิดนี้เป็นเรื่องที่จะต้องพินิจพิเคราะห์มานานกว่า 40 ปีมาแล้ว  ในความรู้สึกเมื่อสภาพที่แน่นอนอย่างเช่น  ผลกำไรขาดทุน  จริยธรรมที่สูงและการกระทำที่ทำอยู่ทั่วไปในองค์กร  ระดับที่สูงของพันธสัญญาจะขึ้นอยู่กับผู้จัดการและผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรมนุษย์  มันส่งผลและผลที่ตามมาสามารถสังเกตได้ว่า  พันธสัญญาเป็นรูปแบบของความเชื่อมั่นตัวเองในการตัดสินใจที่จะทำงานของเธอหรือของเขา  ในมุมมองเป็นเรื่องที่คล้ายคลึงกันมากๆ พี่ผู้จัดการจะสร้างแรงจูงใจเพื่อให้ได้งานที่ทำ
                หนึ่งในผู้เขียนในเรื่องการจัดการคือ Morrow (1993) ซึ่งเป็นคนแนะนำให้ลูกจ้างแบ่งองค์กร  เป้าหมายและวัตถุประสงค์ต่างๆ ออก  แม้กระนั้นก็ตามเขาก็เชื่อว่าคำอธิบายอาจจะเป็นเรื่องที่ธรรมดาและควรตรวจสอบ  เขาได้พัฒนาอย่างตรงจุดในรูปแบบที่ส่งผลในรูปแบบของสถานที่ทำงาน a) งานหนักอยู่ในตรงกลาง (แกนกลาง) ของรูปแบบในเคลื่อนออกไป b) อาชีพที่มีพลังอำนาจ c) องค์กรที่มีอำนาจ d) การแบ่งประเภทบริษัท e) แบ่งประเภทงานที่เกี่ยวข้อง เขาได้วาดโครงสร้างที่สัมพันธ์กับอิทธิพลภายนอกโดยส่วนประกอบจะส่งผล เช่น
  • จริยธรรมในการทำงานเป็นส่วนประกอบภายใน  ความสมัครใจที่จะทำงานหนัก
  • รากฐานอาชีพจากแรงจูงใจ  ซึ่งเกี่ยวข้องกับพลังที่มีอยู่ในองค์กร
  • ความต้องการที่จะอยู่ในองค์กรถูกกำหนดโดยอำนาจที่มีอยู่ในองค์กร
  • การตัดสินใจขององค์กรที่มีประสิทธิภาพส่งผลให้แก่ความปรารถนาในการแบ่งปันเป้าหมาย  วัตถุประสงค์  และรู้สึกว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร
  • ความสัมพันธ์ในงาน คือ เนื้อหาที่ในแต่ละบุคคลจะแบ่งงานซึ่งมีความใกล้ชิดกับแรงจูงใจในงาน

เนื้อหาในการตัดสินใจนั้นไม่ชัดเจน  ในหลากหลายภาษารูปแบบทางวัฒนธรรมไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน  ในบางแห่งมันเป็นเรื่องของจิตสำนึกและไม่จำเป็นเท่าไหร่นักในองค์กร  แนวโน้มที่จะแบ่งหลักการซึ่งต้องการทำงานหนักซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานในองค์กรซึ่งควรจะเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจของแต่ละบุคคล  Cohen and Bradford’s (1999) ทำงานร่วมกับพยาบาทชาวแคนาดาซึ่งทำงานหนักเพื่อนำไปสู่อาชีพที่ดีขึ้น
                โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
  • แต่ละบุคคล
  • องค์กร (ภายใน)
  • สิ่งแวดล้อม (ภายนอก)
การศึกษาของความมีประสิทธิภาพในการจัดการ  รวมถึง Analoui (2002) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความมีประสิทธิภาพเป็นส่วนที่เชื่อมโยงโดยตรงกับข้อผูกมัด  ถึงแม้ว่ามันจะดูยากที่จะแนะนำว่ามีข้อมูลที่ชี้ชัดว่าส่งผลให้ลูกจ้างมีประสิทธิภาพขึ้นก็ตาม  คนที่มีประสิทธิภาพจะแสดงการตัดสินใจในการทำงานของเขาแต่ความสามารถจะเป็นส่วนประกอบจาก 8 กลุ่มที่มีอิทธิพล  ตัววัดที่รวมไปถึงแรงจูงใจเป็นองค์ประกอบที่สำคัญหรือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน (Analoui, 1999) อะไรที่แน่นอนที่แต่ละคนกับข้อมูลภายในแรงจูงใจเพื่องานที่พบว่าพวกเขาทำอะไรมากกว่าที่ใครที่ไม่ได้แบ่งประเภทของงาน  ดังนั้นองค์กรต่างๆ จะแสดงบทบาทในการสร้างและรักษาการตัดสินของคน  เท่าๆ กันที่แต่ละคนสามารถตัดสินเองอาจจะส่งผลเสียในความต้องการที่จะส่งผลดี
                ถึงแม้ว่าไม่มีการสร้างแรงจูงใจใดใดแก่คน  พวกเขาอยู่ภายใต้และความเครียดที่ต้องการและความสำคัญของการอยู่รอดของบริษัทในระยะยาว  ดังนั้นแรงจูงใจของลูกจ้างเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้จัดการ  อย่างไรก็ตามแรงจูงใจไม่ใช่ความคิดง่ายๆ ที่คนจะสร้างแรงจูงใจในสิ่งที่ต่างๆ กัน  อะไรเป็นตัวกระตุ้นที่เหมาะสม  อะไรเป็นสิ่งแรกที่คนจะนำไปสู่แรงจูงใจ  คำตอบที่แตกต่างกันในคนแต่ละคน  อย่างไรก็ตามมันไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่เร้าใจทางการเงินเพียงอย่างเดียวแต่ยังเป็นสิ่งที่เร้าใจในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเงินอีกด้วย  สิ่งที่สำคัญควรจะมีความสมดุลย์ระหว่างความเหมาะสมที่จะสร้างแรงจูงใจที่ประสบความสำเร็จ  ผู้จัดการหลายคนของบริษัทมีความสามารถในการสร้างแรงจูงใจแก่ลูกจ้าง  ยิ่งลูกจ้างมีแรงจูงใจมากเท่าไหร่  บริษัทก็จะอยู่รอดได้มากขึ้นเท่านั้น

                                                                                กลยุทธ์แรงจูงใจ
Huczynski and Buchnan (2001) อธิบายถึงองค์ประกอบทางความคิด 5 ประเภทในการสร้างแรงจูงใจ  อย่างแรก “combining tasks” ให้คนงานมากกว่าหนึ่งส่วนทำงาน  และเชื่อว่าเป็นสิ่งที่สำคัญและนำไปสู่การเพิ่มการมีส่วนร่วมในลูกจ้างของสินค้า  ตัวอย่างเช่น  ลูกจ้างหลายคนในแผนกสารสนเทศสามารถลงทุนเวลาของพวกเขาในหลากหลายงานแทนที่จะทำงานเพียงอย่างเดียว
                กลยุทธ์ที่สองคือ “form natural work units” โดยหลีกเลี่ยงรายละเอียดของงานและให้ลูกจ้างในงานที่สำคัญในการเพิ่มการมีส่วนร่วมในแต่คนและความสำคัญของงานกับผลออกมาที่ดี (Hackman and Oldman, 1980)
            กลยุทธ์ที่สามให้ลูกจ้างรับผิดชอบเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันเองกับลูกค้า  ภายในและภายนอกขององค์กรซึ่งจะให้อิสระในการทำงานและพัฒนาผลต่างๆ ที่ได้รับอยู่ปกติ  กระตือรือร้นและเชื่อใจในผลที่ตอบกลับ  ในวิธีนี้ลูกจ้างหลายคนทราบว่าวิธีที่พวกเขากำลังทำงานได้ดีและนำเสนอความคิดในการพัฒนา  ตัวอย่างเมื่อวิศวกรในแผนกออกแบบของบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่สามารถติดต่อโดยตรงกับวิศวกรหลายๆ คนในแผนกต่างๆได้และผู้ทำสัญญาและเจ้าของโครงการแทนที่จะติดต่อผ่านผู้จัดการหลายๆ คน
                ความคิดที่สี่คือการให้ลูกจ้างมีความรับผิดชอบ  ผลที่ตามมาพวกเขาสามารถดูแลตัวเองได้มากขึ้นอย่างเช่น  การแก้ปัญหาและการฝึกอบรมผู้อื่น
                ในทางตรงกันข้ามวิธีสร้างแรงจูงใจซึ่งแนะนำโดย Huczyski and Buchanan (2001) พวกเขาได้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท  การเพิ่มงานในแต่คนและทีมงานด้วยการพึ่งพากันและกัน  การสร้างทีมงานนั้นมุ่งเน้นที่ปัจจัยภายนอกที่ต้องการสมาชิกในทีมงาน  ซึ่งในทีมงานสามารถแบ่งงานตามความเหมาะสมในแต่ละคน (Belbin, 1996) Lawler’s (1986,1995) ออกแบบความรับผิดชอบของทีมงานในการเลือกและการฝึกอบรมพนักงานใหม่  การตั้งเป้าหมาย  การจัดสรรงาน  การควบคุมคุณภาพและการลา  ยิ่งไปกว่านั้นทีมงานสามารถจัดการได้ด้วยตัวเองและทำงานโดยตั้งหัวหน้าขึ้นมา ซึ่ง Janz et al., (1986) แนะนำว่าการมอบอำนาจหน้าที่จะมีประสิทธิภาพที่ดีนั้นถ้าเพียงทีมงานให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ
                Pettinger (2002) นำเสนอว่าในแต่ละคน  สมาชิกภายในทีมให้มองไม่เพียงถึงบทบาทของงานที่มีความสำคัญ  แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่พวกเขาจะได้รับความพอใจและการยอมรับตนเองและกิจกรรมที่สร้างผลกำไรและส่งผลที่ดี  ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นกันเองโดยให้มีการพูดคุยกันและมิตรภาพกันภายในทีมงาน  ดังนั้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เคารพกันและบรรยากาศที่เชื่อมั่น  สัมพันธภาพและความกระตือรือร้น  ท้ายที่สุดตัวกระตุ้นอีกตัวหนึ่งคือการเฉลิมฉลองในผลสำเร็จหลังจากเสร็จงาน (Owen 1996)

การมอบอำนาจการตัดสินใจ
การมอบอำนาจการตัดสินใจคือการทำให้บุคคลสามารถมีเป้าหมายในการทำงานของตนเอง  ตัดสินใจและแก้ปัญหาภายในอำนาจของตนเอง  มันเป็นทางเลือกเชิงกลยุทธ์ที่ให้อิสระลูกจ้างจากการควบคุม  ให้ความรับผิดชอบแก่ความคิด  การตัดสินใจและการกระทำของพวกเขาเอง  ในสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่สามารถปลดปล่อยซึ่งยังคงไม่สามารถเข้าถึงได้ทั้งดดยส่วนตัวหรือองค์กร  Kakabadse et al., (2004) ดำเนินงานต่อโดยเพิ่มการแบ่งอำนาจในการตัดสินใจแต่ละคนได้รับความเสี่ยง  ได้รับความรู้และพัฒนาทักษะใหม่ๆ  พวกเขาจะโตและรับผิดชอบ  สำคัญกว่านั้นการมอบอำนายในการตัดสินใจเป็นการสร้างขอบเขตในการแข่งขันที่ได้รับผลดีแก่เป้าหมายเชิงกลยุทธ์แก่องค์กร

การมีส่วนร่วม
การมีส่วนร่วมเป็นขั้นตอนให้ลูกจ้างมีสิทธ์มีเสียงในการตัดสินใจเกี่ยวกับงานของพวกเขาเอง  การมีส่วนร่วมของลูกจ้างรวมไปถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับงาน  การตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารงาน (อย่างเช่น ตารางเวลางาน)  และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องคุณภาพของสินค้า
ทีมงาน
มันเป็นการบ่งชี้โดย Geary (1996) ซึ่งเป็นการบริหารการจัดการระดับสูงที่เชื่อว่าทีมงานเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาการทำงานและคุณภาพ  การแก้ไขปัญหา  การเพิ่มนวัตกรรมใหม่ๆ การเพิ่มการมีส่วนร่วมของพนักงานและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี Tuckman (1965) กล่าวว่ามี 4 ขั้นตอนที่จะสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ
  1. ขั้นตอนแรก คือการสร้างทีม  สมชิกเริ่มที่ทำความรู้จักซึ่งกันและกัน  ประเมินเป้าหมายต่างๆ และกำหนดเป้าหมายและสิ่งแรกที่จะต้องทำ  สิ่งนี้คือที่ที่พวกเขาจะแนะนำงานและบทบาทหน้าที่ต่างๆ ในการทำงาน
  2. ขั้นที่สองคือ การระดม  ระหว่างขั้นตอน  กิจกรรมต่างๆ เริ่มและความสามารถของทีมงานกลายเป็นชัดเจนยิ่งขึ้น  ความขัดแย้งบางอย่างอาจจะปรากฎแต่อาจจะเป็นเพียงแค่โอกาส
  3. ขั้นที่สามคือ การตั้งกฎเกณฑ์  กฎเกณฑ์และระเบียบต่างๆ
  4. ขั้นที่สี่คือ  การดำเนินการคือใช้ให้เกิดผลและประเมินผล

ประเภทของทีมงานต่างๆ ภายในองค์กร  Sundstrom et al., (1990) อธิบายว่ามีทีมงานมี 4 ประเภทภายในองค์กรคือ  ให้คำแนะนำ  ลงมือปฏิบัติ  วางแผนและผลิต  ทีมที่ให้คำแนะนำจะคอยให้แนะนำเพื่อการบริหารการจัดการ  ทีมงานประเภทนี้ต้องการการติดต่อเพียงเล็กกับสมาชิกคนอื่นๆ ขณะทีมที่ลงมือดำเนินการ  ทักษะและความรู้เฉพาะทางนั้นมีส่วนสำคัญและสมาชิกภายในทีมมีการพูดคุยซึ่งกันและกันเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกัน  ในการทำงานเป็นไปอย่างคร่าวๆ และซ้ำไปซ้ำมา  เราอาจจะมีทีมฉุกเฉินในโรงพยาบาล  ทีมต่อมาคือทีมวางแผนซึ่งมาจากลูกจ้างที่มีเวลาจำกัด  จากหลากหลายแผนก  สมาชิกทุกคนจะแบ่งปันความคิดการบริหารจัดการกันในงาน  เมื่อกำหนดเป้าหมาย  เป้าหมายจะส่งต่อไปยังสมาชิกทุกๆ คนภายในกลุ่ม  ทีมงานประเภทนี้จะถูกเลือกเมื่อต้องการที่จะแก้ปัญหา  โดยต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือผู้ร่วมงานที่ต้องการทำงาน  ทีมวางแผนงานหลายร้อยคนซึ่งมีอยู่ในบริษัทก่อสร้างหลายบริษัทด้วยโครงการที่แตกต่างกัน  ทีมงานฝ่ายผลิตซึ่งแต่ละคนจะรับผิดชอบในการทำงานวันต่อวัน  พวกเขาจะแบ่งปันเป้าหมายในการผลิตกัน

กลยุทธ์การรักษา
ในการอภิปรายเรื่องการขาดแคลนแรงงาน  การแข่งขันในทักษะที่ขาดแคลนและการเคลื่อนไหวของตลาดแรงงาน  มีแนวโน้มที่จะมุ่งเน้นในการตำแหน่งงานในการจัดจ้าง  สิ่งนี้นำไปสู่สถานการณ์ที่หลายๆ บริษัทประสบกับความลำบากในการรักษา ทรัพยากรมนุษย์ที่ถูกต้อง (Pierce et al., 2003) หนึ่งในวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการต่อสู้กับทรัพยากรที่ขาดแคลนคือการรักษาลูกจ้างที่มีความสามารถที่สุดและมีทักษะมากที่สุดเอาไว้ภายในองค์กร  บางทีอาจจะสำคัญกว่าการจ้าง  ขึ้นอยู่กับการดำเนินงานของผู้จัดการในสายงานหรือไม่ก็ผู้จัดการฝ่ายบุคคล  การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับความเข้าใจในสาเหตุของอัตราการเข้าออกของแรงงานและความเต็มใจในการเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม (Robbins, 1996) Armstrong and Spellman ได้แนะนำว่ากลยุทธ์ต่างๆ ในการรักษาคืออยู่ในส่วนของ  ค่าตอบแทน  รางวัล  ความมุ่งมั่นและการสร้างทีมดังต่อไปนี้

ค่าตอบแทน  การกระทำต่างๆ ที่เป็นไปได้  ทบทวนระดับค่าตอบแทนบนการสำรวจตลาด  แน่ใจว่าแต่ละคนที่จ่ายนั้นเหมาะสมกับราคาตลาด  การประเมินงาน  และทบทวนค่าแรงกับการทำงานเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขานั้นยุติธรรมที่ได้รับ

รางวัล  กลยุทธ์รางวัลสามารถช่วยเหลือบริษัทต่างๆ ในการแบ่งประเภทรางวัลซึ่งอาจจะเป็นไปตามกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มภายในองค์กร Price(2000) ได้แนะนำว่าการตัดสินใจเชิงนโยบายในการเรื่องค่าตอบแทนและรางวัลเป็นสิ่งที่สำคัญของผลิตผลของลูกจ้าง  ความมุ่งมั่นและความเต็มใจที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลง

การดำเนินงาน  ลูกจ้างสามารถเฉื่อยชาลงเมื่อพวกเขารู้สึกว่าไม่ชัดเจนกับความรับผิดชอบและมาตรฐานการทำงานของพวกเขา  เพื่อที่จะขจัดการกระทำในการบริหารการจัดการ

ความมุ่งมั่น  อธิบายว่าเป็นลักษณะขององค์กรและความต้องการที่ยังคงอยู่  ความมุ่งมั่นสามารถมีส่วนในการอธิบายภาระกิจขององค์กรและสนับสนุนคำวิจารณ์ของพวกเขา

การสร้างทีม  การสร้างทีมสามารถทำได้โดยมีวัตถุประสงค์ในการลดปัญหาของลูกจ้างที่รู้สึกแตกต่างและไม่พอใจถ้าพวกเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม
            การฝึกอบรม  การพัฒนาด้านอาชีพและการทำตลาดเกินเป็นกลยุทธ์ต่างๆ ที่ใช้รักษาภายในองค์กร (Armstrong and Spellman, 1993)

กลยุทธ์รางวัล
รางวัลแสดงให้เห็นทั้งที่เป็น เงินและไม่ใช่เงินและผลตอบแทนทางจิตใจซึ่งองค์กรจะควรมีไว้ให้พนักงานในการเปลี่ยนงานที่พวกเขาทำงานอยู่  การจัดการด้านรางวัล (หรือสิ่งที่ชดเชย)  คือส่วนที่สำคัญในสัมพันธภาพทางการจ้างงาน  องค์กรสามารถแบ่งรางวัลเป็น 2 ประเภท คือ ภายนอกและภายใน (Pelletier and Vallerand, 1996) เป็นส่วนผสมทั้งรางวัลทั้งภายนอกและภายในที่ไว้ให้ลูกจ้างในรูปแบบของรางวัล  เงินหรือปัจจัยทางเศรษฐกิฐของระบบรางวัลเป็นรูปแบบของค่าตอบแทน
                ระบบรางวัลเป็นลักษณะทั้งทางการและไม่เป็นทางการแล้วแต่การทำงานของลูกจ้าง  ที่แสดงออกมา  ประเมินและเป็นรางวัล
                ผลของรางวัลทางทัศนคติ
  • ความพอใจส่งผลว่าเท่าไหร่ที่ได้รับและมากเท่าไหร่ที่คนคิดว่าควรจะได้รับ
  • ความพอใจส่งผลต่อการเปรียบเทียบกับผู้อื่น
  • รางวัลต่างๆ ที่ได้
  • ความพึงพอใจในงานโดยรวมส่งผลต่อความพอใจของลูกจ้างทั้งรางวัลภายในและภายนอก
   
 ผลของรางวัลทางพฤติกรรม
  • รางวัลภายนอกส่งผลต่อความพอใจของลูกจ้างและลดการออกของลูกจ้าง
  • รางวัลต่างๆ ส่งผลต่อรูปแบบในการมาทำงานและการขาดงาน
  • ลูกจ้างทำงานหนักขึ้นหรือรางวัลที่มีผลต่อการทำงาน
  • รางวัลส่งผลต่อแรงจูงใจ
  • ลูกจ้างจะทำงานหนักขึ้นเมื่อการทำงานเป็นที่ยอมรับ
  • ลูกจ้างจะทำงานหนักขึ้นถ้าการทำงานนั้นใกล้เคียงที่จะได้รับรางวัล
ค่าตอบแทนในการทำงานไม่ได้บรรลุความต้องการ  เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งเพื่อเติมเต็ม  ตัวอย่างเช่น  การอบรมของหัวหน้างานเป็นส่วนที่สำคัญของการสร้างระบบรางวัล  มันเป็นความจริงที่ว่าระบบรางวัลแบบใหม่จะเปลี่ยนบรรยากาศในระหว่างเพื่อนร่วมงานด้วยกันและผู้บริหารจะต้องเตรียมแก้ปัญหาอื่นๆ ที่ตามมา

วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ดร.สมัย เหมมั่น นำเสนอโครงการจัดสรรทำเลดีให้ลูกค้าเสมอ


ราคาเริ่มที่ 1.39 ล้าน
สิวารัตน์ เสนอโครงการที่คัดเลือกทำเลให้ลูกค้า และนำสนอราคาที่สุดประหยัด


โทร  02 8011802-6
คุณเขม
คุณแอน




ในการเริ่มต้น Survey เพื่อตามล่าหาบ้านในฝันนั้น มีข้อควรพิจารณาต่างๆที่เพื่อนๆพลาดไม่ได้ ดังนี้ค่ะ
จุดแวะที่3. ข้อควรพิจารณาเมื่อเริ่มไปเยี่ยมชมโครงการ
1. ตำแหน่งของโครงการ : โครงการที่เพื่อนๆสนใจควรจะตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สะดวกต่อการเดินทางในชีวิตประจำวัน เช่น ใกล้โรงเรียนลูก ใกล้ที่ทำงาน ใกล้แหล่งสาธารณูปโภค มีโรงพยาบาลหรือห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกล เป็นต้น

2. ตัวโครงการ : เมื่อเพื่อนๆถูกใจกับตำแหน่งของโครงการแล้ว ลองมาพิจารณาถึงตัวโครงการดูกันนะคะ ว่ามีอะไรบ้างที่ไม่ควรมองข้ามไป

           2.1 ความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการ ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการ เพื่อป้องกันมิให้เลือกโครงการที่มีปัญหาหรือเลือกโครงการที่ผู้ประกอบการไม่รับผิดชอบเสียแต่เนิ่นๆ สามารถดำเนินการได้หลายวิธีการ เช่น สอบถามจากลูกบ้านในโครงการเก่าที่ผู้ประกอบการดำเนินการมาแล้วในอดีต หรือตรวจสอบจากรายชื่อผู้ประกอบการที่ถูกขึ้นบัญชีดำไว้ที่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) หากเป็นโครงการที่เคยถูกร้องเรียนต่อ สคบ.ก็ดูว่าถูกร้องเรียนเรื่องอะไร ถ้าเรื่องนั้นๆมีผลต่อบ้านที่เราดูไว้ก็ควรหลีกเลี่ยง ไปดูโครงการอื่นๆทดแทนเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาค่ะ

           2.2 ตรวจสอบการอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดิน ทางกรมที่ดินได้แนะนำไว้ว่า ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยตามโครงการต่างๆ ควรเลือกซื้อจากผู้ประกอบการรายที่ได้รับอนุญาตจัดสรรที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วเท่านั้น เพราะโครงการที่ได้รับอนุญาตจัดสรรนี้ มีข้อกฎหมายบังคับให้ผู้ประกอบการต้องจัดให้มีระบบสาธารณูปโภค-สาธารณูปการในอัตราส่วนต่อพื้นที่ที่เหมาะสมกับการอยู่อาศัย เช่น ถนน ทางเท้า ท่อระบายน้ำ ประปา ไฟฟ้า ฯลฯ ตามที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นการคุ้มครองผู้ซื้อในส่วนหนึ่งโดยผู้ซื้อมีสิทธิ์ขอตรวจสอบใบอนุญาตจัดสรรที่ดินได้จากผู้ประกอบการ หรือ ขอตรวจสอบได้ที่กรมที่ดิน หรือสำนักงานที่ดินจังหวัดที่โครงการนั้นตั้งอยู่

           2.3 ตรวจสอบว่าโครงการได้รับการอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารหรือไม่ ตามแบบแปลนเดียวกับที่ได้กระทำสัญญา และโดยเฉพาะในรายที่ผู้ประกอบการมีการแยกทำสัญญาขายที่ดิน และสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างอาคารไว้เป็นคนละฉบับ ผู้ซื้อควรให้ผู้ประกอบการได้แนบแบบแปลนที่ขออนุญาตไว้ท้ายสัญญาที่กระทำระหว่างกันด้วย

           2.4 ตรวจสอบการจดภาระจำยอมของถนนที่เข้าออกโครงการ หากเป็นไปได้ควรเลือกโครงการที่ติดกับถนนสาธารณะ ปัจจุบันมีโครงการจัดสรรที่ดินเป็นจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่ติดถนนสาธารณะ และผู้ประกอบการต้องขอจดภาระจำยอมขอผ่านทางจากเจ้าของที่ดินรายอื่น ซึ่งหากการจดภาระจำยอมดังกล่าวมีเงื่อนไขหรือระยะเวลา ก็อาจจะก่อปัญหากับผู้ซื้อในภายหลังได้

3. ดูการจัดผังโครงการ : โครงการที่อยู่อาศัยที่ดีนั้น ควรคำนึงถึงการแบ่งสัดส่วนที่พักอาศัยให้เหมาะสม สภาพโครงการสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย มีการวางผังอย่างเป็นระเบียบ ผู้ประกอบการบางรายคำนึงถึงผลประโยชน์จากยอดขายเป็นหลัก จนทำให้กำหนดจำนวนยูนิตที่มากจนเกินไป จนดูแออัด ไม่มีความเป็นส่วนตัว และไม่เป็นสัดส่วน ดังนั้น เมื่อเราจะเลือกซื้อโครงการบ้านที่ใดก็ตาม ต้องดูการจัดวางผังโครงการว่าเหมาะสมดีหรือไม่ มีสัดส่วนของพื้นที่พักผ่อน สัดส่วนการพาณิชย์เพื่อค้าขาย ที่เหมาะสมหรือไม่ประกอบการพิจารณาด้วย
4. สภาพแวดล้อมรอบๆโครงการ : ไม่ใช่แค่เพียงโครงการสวย น่าอยู่ก็เพียงพอแล้ว แต่เพื่อนๆต้องดูบรรยากาศสภาพโดยรอบภายนอกโครงการประกอบด้วย เช่น โครงการอยู่ติดชุมชนแออัด ก็อาจจะเกิดปัญหาการโจรกรรมขึ้นได้ ถ้าระบบรักษาความปลอดภัยไม่ดีพอ หรือโครงการอยู่ติดโรงงานอุตสาหกรรม หากทำเลถูกใจเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องสอบถามหาข้อมูลว่าโรงงานนั้นๆจะมีมลภาวะที่อาจส่งผลกระทบต่อการอยู่อาศัยในอนาคตหรือไม่ หรือแม้แต่โครงการอยู่ติดถนนใหญ่ ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป อาจเกิดปัญหาเรื่องของฝุ่น เสียง แรงสั่นสะเทือนของรถที่สัญจรไปมา หากเฟสหรือแปลงที่เราสนใจดันไปตั้งริมรั้วติดถนนใหญ่ดังกล่าว ข้อนี้เองที่เพื่อนๆต้องดูประกอบกับการจัดวางผังโครงการ ว่าจัดวางแปลงที่อยู่อาศัยเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมภายนอกอย่างไร
5. สภาพแวดล้อมในโครงการ : การเลือกซื้อบ้านนั้นต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมรอบๆที่อยู่อาศัย เพราะสภาพแวดล้อมสามารถส่งผลต่อจิตใจของผู้อยู่อาศัยได้ด้วย หากสภาพแวดล้อมดี บรรยากาศน่าอยู่ มีพื้นที่ส่วนกลางไว้ให้ผู้อยู่สามารถใช้พื้นที่ทำกิจกรรมได้ก็จะเป็นผลดี เช่น
           - มีสโมสรโครงการไว้คอยบริการหรือไม่ เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สนามกีฬา เป็นต้น
           - มีพื้นที่สนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ไว้ให้พักผ่อนหรือทำกิจกรรมยามว่างหรือไม่

6. ตัวบ้าน : เวลาไปเลือกดูบ้านในแต่ละโครงการเราก็หวังที่อยากจะเห็นบ้านที่เสร็จสมบูรณ์แล้วเพื่อจะพินิจพิจารณาว่าคุณภาพที่สัมผัสจับต้องได้นั้นเป็นอย่างไร เพราะคนทั่วไปอย่างเราคงไม่สามารถพินิจพิเคราะห์ดูโครงสร้างของบ้านหลังนั้นหลังนี้ที่ยังสร้างไม่เสร็จว่า ดี สวย มีคุณภาพอย่างไรได้
      ดังนั้นโครงการที่ทำบ้านสร้างเสร็จก่อนขายจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการจะซื้อบ้าน เพราะเพื่อนๆจะได้เห็นบ้านจริง หลังจริง บนแปลงจริง ก่อนตัดสินใจซื้อ สามารถเดินตรวจดูสภาพบ้านทั้งภายในและภายนอกได้ทุกซอกทุกมุม ลองปิด-เปิด ทดสอบ ทั้งประตู-หน้าต่าง ระบบน้ำและระบบไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ(ถ้ามี)ว่าใช้งานได้ปกติหรือไม่  ดูคุณภาพความเนี้ยบของพื้น ผนัง ฝ้า ว่าได้ฉากได้มุมหรือไม่  สำหรับบ้านที่ปูวอลล์เปเปอร์ก็ดูเรื่องของความเนี้ยบในการปู รอยต่อของลายเรียบเสมอกัน
      บ้านสร้างเสร็จก่อนขายนี้มีข้อดีดังกล่าวแล้ว ยังเข้าอยู่ได้ทันทีไม่ต้องรอ ต่างจากการซื้อบ้านที่เราอาจจะต้องวางเงินดาวน์ ไปก่อนที่จะได้เห็นตัวบ้าน ซึ่งในการตรวจดูตัวบ้านนั้นเพื่อนๆควรพิจารณาตามเกณฑ์ ดังนี้

           - แบบบ้าน สวยถูกใจหรือไม่ ทั้งนี้ให้ดูประกอบการใช้ชีวิตอยู่จริง และเหมาะสมกับภูมิอากาศบ้านเราด้วยนะคะ เช่น เรื่องของหลังคา กันสาด ต้องกันฝนสาดได้พอสมควร เป็นต้น
           - การจัดผังภายในบ้าน (Floor Plan) ดูพื้นที่ใช้สอยเหมาะสมตามความต้องการหรือไม่ มีการต่อเนื่องของพื้นที่ใช้สอยที่เหมาะสมหรือไม่ พิจารณาให้สัมพันธ์กับการใช้ชีวิต โดยเพื่อนๆอาจลองจินตนาการภาพของการอยู่อาศัยจริงเวลาดูบ้าน ก็จะช่วยได้มากค่ะ หรือพิจารณาว่าบางห้องคับแคบเกินไปหรือไม่ เป็นต้น
           - วัสดุก่อสร้าง ใช้วัสดุที่มีคุณภาพหรือไม่ พื้น ผนังมีรอยแตกร้าวหรือเปล่า หน้าต่าง ประตู ปิดสนิทกับวงกบ ไม่มีร่องรอยชำรุด รอยรั่ว รอยร้าว เป็นต้น
           - ทิศทางของ ลม และ แดด ดูว่าบ้านหันหน้าไปทางทิศอะไร แสงแดดส่อง ลมพัดผ่านมากหรือน้อยไปหรือไม่ เป็นต้น
           - สาธารณูปโภคภายในบ้าน อาทิ เช่น สายไฟฟ้า ท่อน้ำประปา สายโทรศัพท์ เข้าถึงหรือเปล่า มีที่จอดรถอยู่ในบริเวณที่เหมาะสมหรือไม่ เรื่องของระบบสำรองน้ำใต้ดิน ปั๊มน้ำ สมัยนี้จำเป็นมากๆค่ะ และหากมีระบบไฟฉุกเฉินก็จะยิ่งดีมาก เพราะปัจจุบันเกิดพายุฝนฟ้าคะนองไฟฟ้าอาจจะดับบ่อยๆได้
           - สวนของบ้าน หากบ้านโครงการนั้นๆ มีการจัดสวนให้ด้วย ให้ดูความสวยงามของสวน และ Function การใช้งานที่เหมาะสม สวนที่ดี ต้องไม่ใช่แค่สวยเพื่อชมอย่างเดียว แต่เราต้องใช้ประโยชน์ได้ด้วย เช่น ศาลาในสวน หรือชุดนั่งเล่น ฯลฯ

7. ความปลอดภัย : เมื่อเพื่อนๆเลือกตกลงปลงใจที่จะซื้อบ้าน ณ โครงการนั้นแล้ว ก็ต้องคาดหวังถึงระบบความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้น การเลือกซื้อบ้าน ต้องตรวจสอบเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยของโครงการนั้นๆ โดยดูจากมาตรการต่างๆที่วางไว้ว่าโครงการนั้นเตรียมความพร้อมไว้มากน้อยเพียงไร และควรลองสอบถามผู้ที่อยู่อาศัยมาก่อนถึงเรื่องการรักษาความปลอดภัยประกอบการพิจารณาด้วย
8.การคมนาคม : ควรพิจารณาถึงความสะดวกในการเดินทางจากโครงการที่หมายตาไว้ ว่ามีโครงข่ายคมนาคมใดที่เพิ่มความสะดวกในการเดินทางหรือไม่ เช่น มีรถสาธารณะวิ่งผ่าน หรือใกล้แนวรถไฟฟ้าในอนาคตอันใกล้ ดูบรรยากาศของเส้นทางเวลากลางคืนว่าเปลี่ยวเกินไปหรือไม่ มีไฟถนนสว่างเพียงพอหรือเปล่า ถึงแม้ว่าเพื่อนๆบางคนจะมีรถส่วนตัว แต่การเช็คข้อมูลต่างๆเหล่านี้นับว่าเป็นข้อดีอีกประการหนึ่งต่อผู้พักอาศัยด้วยนะคะ
9. ระบบสาธารณูปโภคภายในหมู่บ้าน : ให้เพื่อนๆลองพิจารณาดูสาธารณูปโภครอบๆบ้านเรา เช่น ถนนในโครงการ แคบหรือกว้าง  ท่อระบายน้ำมีพอระบายน้ำกันน้ำท่วมเอ่อได้หรือไม่ เคยมีปัญหาน้ำท่วมหรือไม่ มีเสาไฟฟ้าขนาดใหญ่อยู่ในโครงการหรือไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นข้อที่ควรพิจารณาควบคู่กันด้วยนะคะ  รวมถึงควรสอบถามค่าสาธารณูปโภคของโครงการที่คุณจะซื้อก่อน ว่าครอบคลุมอะไรบ้าง เช่น ค่าบริการ เก็บขยะ ค่าน้ำ-ไฟส่วนกลาง (ไฟถนน,ซอย,ทางเดินใน โครงการ ,ลิฟท์ ฯลฯ) ค่าดูแล สวนส่วนกลาง ค่ายามรักษาการณ์ เป็นต้น
10. ราคา และ วิธีการผ่อนชำระ :ให้เหมาะสมกับระดับรายได้และความสามารถในการผ่อนชำระ  บ้านที่เพื่อนๆจะซื้อ  ควรพิจารณาราคาบ้านให้เหมาะสมกับสภาพบ้าน  รวมถึงคุณภาพทั้งตัวบ้านและคุณภาพชีวิตที่จะได้รับนั้นเหมาะสมกันหรือไม่  โดยเพื่อนๆควรคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบอีกครั้ง ในส่วนการผ่อนชำระ ปัจจุบันการผ่อนชำระสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยกับสถาบันการเงิน มีทั้งดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) และดอกลอยตัว (Float Rate) ผู้ซื้อควรตรวจสอบกับสถาบันการเงิน ว่าอัตราดอกเบี้ยแบบใดที่เหมาะสมกับอาชีพ ความสามารถในการผ่อนชำระ รวมถึงเงื่อนไขที่จะเกิดขึ้นในภายหลังต่อการเลือกใช้อัตราดอกเบี้ยแบบนั้นด้วยค่ะ
11. ตรวจสอบถึงชุมชนในอนาคต : มีผู้ซื้ออยู่อาศัยเป็นจำนวนไม่น้อยที่คิดเพียงซื้อบ้าน แต่ลืมใส่ใจปัญหาที่จะเกิดตามมาในภายหลัง พึงระลึกเสมอว่าการซื้อที่อยู่อาศัยมิใช่เป็นเพียงซื้อบ้านเท่านั้น แต่เกี่ยวเนื่องกับชุมชนในอนาคต ผู้ซื้อสามารถตรวจสอบได้โดยพิจารณาจากวิธีการบริหารดูแลชุมชนในโครงการเก่าที่ผู้ประกอบการดำเนินการมาแล้วในอดีต เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาค่ะ ทางที่ดีควรพิจารณาผู้ประกอบการที่รับผิดชอบโครงการนั้นๆ แม้จะขายหมดแล้วก็ตาม
      เป็นอย่างไรบ้างค่ะ กับเกณฑ์ในการหาข้อมูลประกอบการพิจารณาเมื่อเราไปเยี่ยมชมโครงการ ตามที่ my1sthome แนะนำ หากเพื่อนๆได้ลองทำตามเกณฑ์ดังกล่าว รับรองเลยนะคะว่าบ้านหลังแรกของเพื่อนๆ จะเป็นบ้านที่เพียบพร้อมและน่าอยู่มากที่สุดเลยค่ะ
      ในบทความตอนต่อไป เมื่อเพื่อนๆเลือกบ้านได้ถูกอกถูกใจแล้ว my1sthome จะทำให้เพื่อนๆได้เข้าใกล้ฝันแห่งบ้านหลังแรกมากยิ่งขึ้นค่ะ อย่าลืมติดตาม แผนที่ของคนอยากมีบ้าน

ศึกษาวิเคราะห์ กรณีของ ENRON 2001 เป็นแบบอย่าง



สิวารัตน์ 9 (บางกรวย-ไทรน้อย)
บ้านแฝด 36 ตร.ว. 2 ชั้น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ
ทาวน์โฮม 16 ตร.ว. 3 ชั้น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 
โทร. 097-449-6464, 086-341-5050

เมื่อเอ่ยถึงกิจการที่สะเทือนวงการนักวิเคราะห์ของโลกต้องถือว่ากรณีของ Enron และ WorldCom ยังคงเป็นกรณีสะเทือนขวัญสูงสุด เพราะช่วงต้นปี 2001 Enron เป็นกิจการที่ผู้คนกล่าวถึงในฐานะของกิจการ
แต่ไม่ถึงปีหลังจากนั้น Enron กลับประกาศล้มละลาย หุ้นตกลงจนแทบไม่มีค่า ทำความเสียหายให้แก่นักลงทุนเป็นพันล้านดอลลาร์ ความเปลี่ยนแปลงพลิกผันแบบเฉียบพลันนี้สร้างความประหลาดใจให้แก่นักวิเคราะห์ระดับเซียนทั้งหลายอย่างมากมาย   จากกิจการที่ไม่มีท่าทีจะมีปัญหาและแนวโน้มระยะยาวจะดีจากการวิเคราะห์งบการเงิน แต่สถานการณ์พลิกตาลปัตรเมื่อ ซีอีโอ คนเดิมลาออกแบบไร้ความคาดหมายในเดือน สิงหาคม 2001 ทำให้ราคาหุ้นลดลง และเพียง 2 เดือนหลังจากนั้น บริษัทประกาศผลขาดทุนถึง 638 ล้านดอลลาร์ และลดลงถึง 1,200 ล้านดอลลาร์
จุดที่สร้างความเปลี่ยนแปลงมาจากหลายสาเหตุและสาเหตุหนึ่ง คือ ผู้บริหารถูกว่าจ้างด้วยเงื่อนไขที่จ่ายเงินเดือน โบนัสและกำไรจากการให้หุ้นถึง 750 ล้านดอลลาร์
การล้มละลายของ Enron นำมาสู่การตำหนิและวิจารณ์การทำงานของผู้ตรวจสอบบัญชีบริษัท คือ อาร์เธอร์ แอนเดอร์สัน และบรรดานักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทที่แนะนำว่าหุ้นของบริษัทนี้ดีแสนดีมาหลายปีโดยมีการวิจารณ์ว่าบุคคล 2 กลุ่มนี้ไร้ความรับผิดชอบ
ในปีเดียวกัน กิจการอีกราย คือ WorldCom ก็เจอกรณีการแต่บัญชีและสร้างกำไรตลอดจนกระแสเงินสดกว่า 11,000 ล้านดอลลาร์ และล้มละลายในเวลาต่อมาด้วยความเสียหายนับพันล้านดอลลาร์ เช่นกันและที่สำคัญทั้ง 2 บริษัทใช้ผู้ตรวจสอบบัญชีรายเดียวกัน คือ อาเธอร์ แอนเดอร์สัน  ซึ่งในเวลาต่อมาก็ต้องเลิกกิจการเช่นกัน ทำให้พนักงานกว่า 700,000 คนตกงาน  ซึ่งนอกจากอาเธอร์ แอนเดอร์สัน แล้วยังมีกิจการวานิธนกิจ อีก 2 รายคือ Citigroup  และ Solomon Smith Barney ที่เข้าไปพัวพันกับบริษัททั้งสอง และได้รายได้จากการรับประกันการจำหน่ายและขายหุ้นให้แก่บริษัททั้งสองจำนวนมหาศาล
กรณีของ Enron และ WorldCom ทำให้เกิดกฎหมายฉบับใหม่ในสหรัฐที่เพิ่มความรับผิดชอบของ CEO และ CFO ของกิจการในส่วนที่เป็นความถูกต้อง และครบถ้วนของรายการในงบการเงิน เพื่อจะได้ไม่สร้างความเข้าใจผิดแก่นักลงทุน และเกิดความพยายามในกาปรับปรุงการรายงานงบการเงินให้เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น
ในการใช้งานงบการเงิน ผู้ใช้ต้องการให้งบการเงินสามารถบ่งชี้
-      ความมั่นคงหรือแนวโน้มปัญหาในระยะสั้น
-      พยากรณ์การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
-      การเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายสำคัญ เช่น นโยบายด้านเครดิตสินค้าคงเหลือ
-      การขยายการลงทุนต่อผลการดำเนินงานของกิจการ
ข้อมูลสำคัญในงบการเงินที่สามารถนำมาวิเคราะห์ได้ คือ การบริหารทางการเงินซึ่งมีเป้าหมายหลักในการเพิ่มความมั่งคั่งแก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว ไม่ใช่เพียงสร้างรายได้สุทธิหรือ Earnings Per Share เท่านั้น แม้ว่าข้อมูลทางบัญชีจะมีผลกระทบและมีอิทธิพลต่อราคาหุ้น  และใช้ความเข้าใจกับผลประกอบการและวิธีดำเนินงานของกิจการ  และที่สำคัญที่สุดคือ ความสามารถในการพยากรณ์ไปข้างหน้า
Ratio Analysis
อัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratios) ออกแบบมาเพื่อช่วยในการประเมินสถานะทางการเงินแบบหนึ่ง ที่นำเอาตัวเลข 2 ตัวเลขมาพิจารณาเป็นอัตราส่วน
อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ได้แก่
1.  Liquidity Ratios
เป็นการพิจารณาสินทรัพย์สภาพคล่องเปรียบเทียบกับหนี้สินสภาพคล่อง กรณีที่กิจการเริ่มมีปัญหา อัตราส่วน Liquidity Ratios จะส่งสัญญาณก่อนอัตราส่วนอื่นๆ
2.  Asset Management Ratios
เป็นเครื่องวัดประสิทธิผลในการบริหารสินทรัพย์ โดยพิจารณา
-    จำนวนหรือมูลค่าของสินทรัพย์แต่ละประเภทเหมาะสมหรือไม่ เทียบกับยอดจำหน่ายที่ได้
-    มีสินทรัพย์ที่ต้องใช้แหล่งเงินกู้เพื่อให้ได้มาแต่สร้างผลตอบแทนไม่คุ้มค่าหรือไม่
-    สินทรัพย์ที่มีอยู่ต่ำหรือน้อยเกินไปจนไม่สามารถสร้างรายได้ดีขึ้น หรือไม่
ปัจจัยที่ใช้พิจารณา คือ ยอดจำหน่าย สินค้าคงเหลือ ลูกหนี้การค้า และสินทรัพย์
3.  Debt Management Ratios
ในกรณีที่กิจการใช้แหล่งเงินกู้ในการดำเนินงานด้วย (Financial Leverage หรือ Debt Financing)
ปัจจัยที่ใช้พิจารณา คือ ยอดหนี้เทียบกับสินทรัพย์ EBIT หรือ EBITDA เทียบกับภาระดอกเบี้ยจ่าย เงินต้น ผ่อนชำระและค่าเช่าแบบลิสซิ่ง
4.  Debt Management Ratios
ในขณะที่ Liquidity, Asset Management และ Debt Ratios เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่บ่งชี้เกี่ยวกับนโยบายและแนวทางการดำเนินงานของกิจการ Profitability Ratios จะช่วยบ่งชี้นโยบายทางการเงินและการตัดสินใจด้านการดำเนินงาน เช่น
-    Profit Margin on Sales พิจารณาอัตราส่วนของกำไรต่อยอดขาย
-    Return on Total Asset พิจารณาอัตราส่วนของกำไรต่อยอดขาย
-    Return on Equity
5.  Market Values Ratios
เป็นการพิจารณาราคาหุ้นของกิจการเทียบกับผลตอบแทนจากการดำเนินงาน (Earnings) เทียบกับกระแสเงินสด และ book value per share เพื่อช่วยชี้นำผู้บริหารให้เข้าใจว่า ณ ขณะนั้น นักลงทุนมองความเสี่ยงและแนวโน้มของกิจการอย่างไร
ในกรณีที่ Liquidity, Asset Management, Debt Management, Profitability Ratios ออมาดูดี และทรงตัวในระยะยาวแสดงถึงเสถียรภาพของอัตราส่วนและการดำเนินงานย่อมจะส่งผลให้ Market Value Ratios ออกมาสูงตามไปด้วย และอาจจะส่งผลต่อราคาหุ้นในทางเพิ่มขึ้นด้วย
อัตราส่วนที่ใช้ในด้านนี้ ได้แก่
-    Price / Earnings Ratio
-    Price / Cash Flow Ratio โดย Cash Flow มาจาก Net Income + Depreciation + Amortization หารด้วย หุ้นสามารถที่ออกจำหน่าย
-    Market / Book Ratio
6.  Trend Analysis
เป็นการวิเคราะห์แนวโน้มของอัตราส่วนแทนที่จะมองเพียงค่าของอัตราส่วนเดี่ยวๆ เพื่อบ่งชี้ว่าแนวโน้มการดำเนินงานของกิจการดีขึ้นหรือแย่ลง โดยเอาอัตราส่วนในแต่ละช่วงเวลาเพื่อพิจารณาว่าแนวโน้มเป็นอย่างไรในอัตราส่วนที่สำคัญๆ
ปัจจัยที่ใช้พิจารณา คือ ยอดจำหน่าย สินค้าคงเหลือ ลูกหนี้การค้า และสินทรัพย์
7.  Du Pont Equation
เป็นการนำเอาอัตราส่วนที่สำคัญๆ มาพิจารณาร่วมกันเพื่อให้ได้มิติของอัตราส่วนใหม่ๆ ออกไป เช่น
 ROA    = Profit Margin x Total Assets Turnover
              = Net Income   x      Sales
                           Sales           Total Assets
ROE    = ROA x Equity Multiplier
          Net Income   x    Total Assets
          Total Asset         Common Equity
          = Profit margin x Total Asset Turnover x Equity Multiplier
8.  Comparative Ratios และ Benchmarking 
การพิจารณาด้วยอัตราส่วนเป็นการพิจารณาตัวเลขผลการดำเนินงานในเชิงเปรียบเทียบ อาจจะเป็นการเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานในอดีตของกิจการ ผลการดำเนินงานในแต่ละหน่วยธุรกิจ (Business Unit) ของบริษัทเดียวกัน หรืออาจจะเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม หรือ บริษัทชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเรียกเทคนิคนี้ว่า “benchmarking”
การค้าหาสัญญาณเตือนในงบการเงิน
กรณีการสร้างรายการทางบัญชีของ Enron ทำให้เกิดการตื่นตัวในการมองรายละเอียดของงบการเงินและวิธีการบันทึกบัญชีด้วยมุมใหม่ โดยเฉพาะบรรดานักลงทุนที่พยายามค้นหามุมมองของปัญหาในงบการเงิน  และหาทางปักธงแดงบนรายการบางรายการในงบการเงินเพื่อให้เห็นสถานะของความเสี่ยงของกิจการที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างของรายการที่ได้รับความสนใจจากนักวิเคราะห์เพิ่มขึ้น
(1)   ต้นทุนที่เกิดจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ เช่น การลดอัตรากำลัง
(2)   รายได้ที่เกิดจากการซื้อกิจการอื่นๆ ที่มี P/E Ratio สูงกว่ากิจการที่ถูกซื้อ
(3)   การตัดค่าเสื่อมราคาในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
(4)   กิจการที่มียอดรายรับสูง แต่มีกระแสเงินสดไหลเข้าสุทธิต่ำมากผิดปกติ อาจจะสะท้อนรายการลูกหนี้การค้าที่ไม่มีโอกาสเกิดเป็นเงินสดจริง  ซึ่งกรณีนี้เป็นสถานการณ์ของ Enron
(5)   ลูกหนี้การค้าและสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วยอดการจำหน่ายหรือรายได้จากการดำเนินงาน
(6)   การเข้าไปซื้อกิจการอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของกิจการ
ข้อจำกัดของการวิเคราะห์ด้วย Ratios
การใช้อัตราส่วน (Ratios) มักจะได้รับความนิยมในบุคคล 3 กลุ่ม คือ
(1)   ผู้จัดการ ใช้อัตราส่วนในการวิเคราะห์ ควบคุม และปรับปรุงผลการดำเนินงานของกิจการ
(2)   นักวิเคราะห์เครดิต โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อธนาคารและนักวิเคราะห์เพื่อจัดอันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิตของตราสารหนี้
(3)   นักวิเคราะห์หุ้น เพื่อประเมินประสิทธิภาพ ความเสี่ยงและแนวโน้มการเติบโตของกิจการ
อย่างไรก็ดี อัตราส่วนอาจจะไม่เหมาะสมในการใช้งานในหลายกรณี เนื่องจากมีข้อจำกัดของวิธีการแบบนี้  ซึ่งผู้นำเอาไปใช้งานควรจะระมัดระวังและวิเคราะห์ด้วยความรอบคอบ ข้อจำกัดที่สำคัญในการใช้ประโยชน์จากแนวคิดของการวิเคราะห์ด้วยอัตราส่วนได้แก่
1.บริษัทที่มีขนาดใหญ่มากและมีโครงสร้างธุรกิจหลายประเภทที่ไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอยู่ในกิจการเดียวกัน  การนำเอาตัวเลขโดยรวมของทั้งบริษัทมาคำนวณอัตราส่วนอาจจะไม่มีความหมายเพราะเกิดจากองค์ประกอบของไลน์ธุรกิจหลายด้านประกอบกัน
ด้วยเหตุนี้ การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินจึงมักจะเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์บริษัทที่มีขนาดเล็ก และขอบเขตธุรกิจจำกัดอยู่เฉพาะด้านมากกว่าบริษัทขนาดใหญ่และบริษัทข้ามชาติ
2.หลายบริษัทคิดว่าหากอัตราส่วนออกมาแล้วดีกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งอุตสาหกรรมก็ถือว่าดีแล้ว แต่การที่อัตราส่วนออกมาดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอาจจะไม่ได้หมายความว่า กิจการนั้นดีกว่ากิจการอื่นๆ ที่จริงการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
3.อัตราเงินเฟ้อมีส่วนในการบิดเบือนตัวเลขหรือมูลค่าของรายการในงบการเงิน ทำให้มูลค่าตามงบการเงินไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง (True Values) ของกิจการ  โดยอัตราเงินเฟ้อกระทบต่อค่าเสื่อมราคา ต้นทุนสินค้าคงคลัง  กำไรของกิจการด้วย  ในการพิจารณาผลการดำเนินงานของกิจการใดๆ  ในช่วงเวลาที่ยาวต่อเนื่องอาจจะต้องนำเอาอัตราเงินเฟ้อมาร่วมพิจารณาด้วย
4.ปัจจัยของฤดูกาล ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบต่อการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน  ซึ่งผู้ที่ทำการวิเคราะห์อาจจะต้องอาศัยการหาค่าเฉลี่ยตามวงจรของฤดูกาลเพื่อให้สามารถวิเคราะห์ส่วนของรายได้อย่างครบถ้วน
5.การใช้มาตรฐานและวิธีปฏิบัติทางบัญชีที่แตกต่างกันอาจจะบิดเบือนหากนำเอามาเปรียบเทียบกันด้วยอัตราส่วนโดยตรง  เช่น การบันทึกสินค้าคงคลัง หรือวิธีการตัดค่าเสื่อมราคา หรือการใช้วิธีเช่าซื้อในจำนวนสูงจะทำให้มูลค่าของสินทรัพย์ของกิจการต่ำกว่าความเป็นจริง เทียบกับกิจการที่ใช้สินทรัพย์แบบเดียวกัน แต่ไม่ได้เช่าซื้อและใช้การจัดซื้อโดยตรง
6.ในบางสถานการณ์การระบุบทสรุปว่า อัตราส่วนลักษณะใดที่ถือว่าดีและลักษณะใดที่ถือว่าไม่ดีก็ไม่อาจจะกระทำได้แบบชัดเจน  เช่น สภาพคล่องที่สูงมากอาจจะมองว่าดีในด้านสภาพคล่องแต่ถ้ามากเกินไปก็แสดงถึงการมีสินทรัพย์ที่ไม่ทำรายได้สูงด้วย หรือการหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวรที่สูงอาจจะสะท้อนว่าการใช้สินทรัพย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หรืออาจจะมองว่ากิจการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรน้อยไปก็ได้
7.เป็นไปได้ยากที่จะมีกิจการใดมีอัตราส่วนทางการเงินดีทั้งหมด หรือ แย่ทั้งหมด ส่วนใหญ่มักจะมีอัตราส่วนทางการเงินที่ดีบ้าง แย่บ้าง ผสมกันไป จึงยากที่จะบอกได้ว่าโดยภาพรวมแล้วกิจการดีหรือไม่ดี  ยกเว้นจะกำหนดน้ำหนักความสำคัญของสัดส่วนทางการใดมากกว่าอัตราส่วนอื่นๆ
การนำเอาอัตราส่วนทางการเงินมาใช้โดยไม่ตีความอย่างรอบคอบจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งเพราะอาจจะทำให้การประเมินผลประกอบการและสถานะทางการเงินของกิจการผิดพลาดไป