วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บทความการวิจัย ความต้องการและเซ็กเม็นต์ของลูกค้าโครงการบางเลน 11- 12


        
                    การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์และการบริหารเชิงกลยุทธ์ 
                   ดร.สมัย  เหมมั่น กล่าวว่า: สิวารัตน์ เซ็กเม้นท์ชัดเจน ลูกค้าก็มองเห็นชัด         เพื่อการบริหารและการจัดการธุรกิจ การประกอบการจัดสรรที่ดิน 2554
 เริ่มต้นพัฒนาโครงการสิวารัตน์ 1 ริมถนนพระราม 2 ซึ่งเป็นโครงการแรก และเคยพัฒนามาแล้วทั้งทาวเฮ้าส์ ออฟฟิศ บ้านเดี่ยวระดับกลาง-ระดับบน แต่ปัจจุบันแบรนด์ สิวารัตน์ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยประเภททาวเฮาส์ในเมืองและชาลเมือง ดร.สมัย เหมมั่น รองกรรมการผู้จัดการบริษัทคาสเซ่อร์พีฯให้คำแนะนำว่า สิวารัตน์ เริ่มหันมาโฟกัสสินค้าประเภทนี้หลังได้บทเรียนในช่วงวิกฤต การมีเซ็กเม้นท์ที่ชัดเจน ทำให้ สิวารัตน์ มีการพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง จนมีฐานลูกค้าเติบโตปีละกว่า 600 ครอบครัว แต่กว่าจะทำให้ลูกค้าเข้าใจแบรนด์ สิวารัตน์  ต้องเริ่มจากเรียนรู้เพื่อรู้จักชีวิตของคนคอนโดตั้งแต่วันแรกที่แพ็คกระเป๋าเข้าอยู่                                                                                                       
อะไรคือสาเหตุที่  สิวารัตน์         หันมาโฟกัสในการพัฒนาทาวเฮาส์ในเมือง/ชาลเมืองเป็นหลัก

                ช่วงก่อนหน้าวิกฤต สิวารัตน์ เป็นบริษัทที่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทุกรูปแบบ ทั้งทาวน์เฮ้าส์ ออฟฟิศ อาคารชุด ที่อยู่อาศัยระดับบน-ระดับกลาง มีการพัฒนาไปในหลายรูปแบบ เพราะตอนนั้นเคิดว่า ในเมื่อเราอยากเป็นนักพัฒนา น่าจะพัฒนาได้ในทุกเซ็กเม้นท์ นั่นเป็นความคิดที่เกิดขึ้นมาในช่วงของก่อนปี 2540

                แต่หลังจากปี 2540 ความคิดในการพัฒนาของก็เปลี่ยนไป เพราะวิกฤตทำให้มองเห็นถึงเซ็กเม้นท์ของลูกค้ากลุ่มนี้ได้ชัดเจน เพราะช่วงวิกฤตเป็นช่วงที่ขาดซึ่งความเชื่อมั่น โดยเฉพาะเซ็กเม้นท์ของทาวเฮาส์  แต่ลูกค้ากลุ่มที่ซื้อบ้าน/ทาวเฮาส์ ในเมืองมีความต้องการเหนียวแน่น มีกำลังซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ก็เลยกำหนดเป็นทิศทางของบริษัทหลังผ่านวิกฤตที่จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มนี้เป็นหลัก
 ดังนั้นในอนาคต ถ้าจะต้องมีวิกฤตใหม่เข้ามาก็มีความมั่นใจ
ยังจับกลุ่มอยู่กับลูกค้ากลุ่มนี้ โอกาสที่เราจะต้องเผชิญกับภาวะของความลำบาก หรือจะมีความเสี่ยงลดน้อยลง

ทำไมความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ไม่หายไปตามวิกฤต แล้วแบรนด์ สิวารัตน์  เป็นที่รู้จักในฐานะผู้พัฒนจัดสรร ในเมืองตั้งแต่ช่วงไหน 

                ลูกค้ากลุ่มที่กำหนดไว้เป็นลูกค้าที่อยู่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองเห็นถึงความจำเป็นของที่อยู่อาศัย เป็นกลุ่มของเจเนอเรชั่นเอ็กซ์ ต้องการความเป็นอิสระของชีวิต พึ่งตัวเอง ต้องการความคุ้มค่าของตัวโปรดักส์มากกว่าซื้อเพราะมีความต้องการ และให้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการจริง ๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องของมาร์เก็ตติ้งที่เข้าไปผลักดันให้เขาต้องการ

                การพัฒนาโปรดักส์ของ  สิวารัตน์  ก็จะต้องออกมาเพื่อเซิร์ฟ กับคนกลุ่มนี้โดยตรง พยายามหาคำตอบว่าราคาที่คนกลุ่มนี้ต้องการคือจุดไหน เขาต้องการอะไร ความคุ้มค่าของเขาอยู่ที่ตรงไหน การทำงานเพื่อจับกลุ่มลูกค้ากลุ่ม
นี้มาตลอดเลยก่อให้เกิดเป็นแบรนด์ของบริษัทขึ้นมา จากตัวสินค้าของบริษัท      สิวารัตน์
ตั้งแต่ช่วงวิกฤตและเริ่มติดตลาดประมาณปี 2542-2543 แต่มามี  อิมแพค  แรงมากประมาณช่วงปี 2544-2545 จากโครงการต่าง ๆ ที่เราเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุกคนมองเห็นเลยว่า ถ้าเป็นโครงการของแบรนด์  สิวารัตน์  แล้ว ราคาถูก ทำเลดี สินค้าออกมาเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ มีบริการดี มีการดูแล มีการเข้าไปจัดการ การบริการหลังการขายถือว่าเป็นหัวใจสำคัญด้านการตลาดของ  สิวารัตน์  เป็นอันดับหนึ่งเลย

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นและนำไปสู่แบรนด์ที่แข็งแกร่งในปัจจุบันจะเห็นว่า การพัฒนาของบริษัท สิวารัตน์   ฯนั้นได้ใส่ใจกับคุณภาพของงานที่ทำอยู่ ทั้งเข้าใจ ลูกค้า เรื่อง ทำเล  ราคาถูก  ตอบสนองลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เน้นให้คุณภาพงานที่จะส่งมอบให้ลูกค้า

ข้อมูลที่เรานำมาใช้พิจารณาเพื่อพัฒนาเซ็กเม้นท์ของทาวเฮาส์ในเมือง/ชาลเมือง เป็นข้อมูลจากที่อยู่อาศัยทั้งตลาดหรือพิจารณาจากกลุ่มสินค้าเฉพาะที่บริษัทพัฒนาเอง

                เราพิจารณาจากยอดขายในกลุ่มสินค้าของบริษัท ไม่ได้ดูจากเซ็กเม้นท์ในตลาด เพราะตอนนั้นตลาดวาย คุณดูจากตลาดไม่ได้ เพราะหาตลาดไม่ได้ ต้องเช็คกับตัวเองเลยว่า มันเป็นอย่างไรบ้างกับกลุ่มลูกค้าของคุณที่กำลังเข้ามา

หลายบริษัทก็หันมาพัฒนาเรื่องแบรนด์กันมากขึ้นโครงการหมู่บ้านจัดสรรก็จัดทำเช่นกัน

ผมว่าก็เกิดจากการเรียนรู้ในช่วงของเหตุการณ์ ปี 2540 ที่ผ่านมา ที่ทุกคนก็เริ่มเห็นว่ามันมีความสำคัญ

                ก่อนหน้านี้เรามีความรู้สึกว่า บริษั?มทำอะไรลูกค้าก็ซื้อโปรดักส์ออกมาถูกต้องลูกค้าก็ซื้อ

แต่ในช่วงระยะหลัง การพัฒนาเกิดขึ้นมาจากการพัฒนาของลูกค้าด้วย ลูกค้าก็มองเห็นถึงความสำคัญของผู้พัฒนาด้วย เพราะเหตุการณ์วิกฤตมันก็ได้สร้างวิกฤตให้แก่ทั้งผู้พัฒนากับลูกค้าด้วย ผู้พัฒนาหลายรายเสียหายก็ทำให้โครงการมีปัญหา ลูกค้าก็ซัฟเฟอร์เยอะ เมื่อผ่านเหตุการณ์นั้น ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าเริ่มต้องมองดูถึงตัวดีเวลลอปเปอร์ด้วย ทำให้ระยะหลังโครงการที่ทำออกมาจำเป็นต้องสร้างเสร็จก่อน เพราะว่าลูกค้าเกิดความไม่เชื่อมั่นใจนักพัฒนา

อย่างของ สิวารัตน์  ก็ยิ่งต้อง พัฒนา มากขึ้น เพราะสิวารัตน์ ไม่ได้สร้างก่อนขาย แต่ ขายก่อนสร้าง เรื่องของคอมมิทเม้นท์ของเราต้องถูกต้องแม่นยำและไม่เผื่อ

                สมัยก่อนเราทำงานแต่ละโครงการ สิวารัตน์จะต้องเผื่อโครงการไม่เสร็จสัก 5-6 เดือน แต่สมัยนี้ไม่ได้ เสร็จคือเสร็จไม่มีคำว่าเผื่อ คนจะต้องถูกกดดันจากเวลา คุณภาพ การส่งมอบ แต่ก่อนถ้าถามว่าคุณคิดว่าเสร็จไหม อาจจะตอบว่าก็คิดว่าน่าจะเสร็จ แต่ปัจจุบันไม่มี มีแต่ต้องบอกว่าเสร็จ และไม่มีเหตุผล คุณจะอ้างเหตุผล ปัญหาจากโน้นนี่ไม่มี ก็จะเกิดวิธีการคิดการทำงานใหม่ ที่จะไดร์ฟทุกคนใหม่ นี่คือผลที่เกิดขึ้น
เท่าที่ดูผลประกอบการครึ่งปีแรก เห็นชัดเจนว่า คนที่พัฒนาแบรนด์ชัดเจน 6-7 อันดับแรกมีแบรนด์ทั้งนั้น อย่างนี้ต่อไปนักพัฒนาแต่ละรายต้องพยายามพัฒนาแบรนด์ของตัวเองทั้งหมด
                เขาก็อาจจะเป็นนักพัฒนารายย่อย ถามว่ายังเกิดได้ไหม ผมก็ว่ายังเกิดได้ แต่เกิดแล้วใหญ่ไม่ได้ ก็คือลูกค้าเองก็อาจจะมีอยู่กลุ่มหนึ่ง แต่ว่าลูกค้าก็มีหลายประเภท ประเภทติดแบรนด์ก็มี หรือประเภทต้องการอะไรที่ไพร์ซซิ่งถูกใจ โลเกชั่นตรงนั้นพอดี แต่โครงการที่เกิดขึ้นคงไม่ใหญ่ ก็คงจะเป็นโครงการที่จบในระยะสั้น จะมาแล้วหายไป เจ้าของที่ดินมีแค่นี้พัฒนาขึ้นมาเองแล้วจบ

    สำหรับ สิวารัตน์  มีจุดแข็งในด้านการพัฒทาวเฮาส์ /ตึกแถว มีความชำนานในงาน

                สิวารัตน์ ก็ถนัดทาวเฮาส์ มาอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเป็นมือใหม่ อย่างโครงการสำนักงานสิวารัตน์ 1 พราม2 ก็เป็นโครงการแรกที่เราทำกันมาตั้งแต่ปี 2532 นานกว่า 20 ปีแล้ว

การพัฒนาก็มาปรับให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายอีกที โดยใช้ความต้องการของลูกค้าเป็นตัวกำหนดวิธีการทำงาน ใช้สปีดในการดำเนินงาน เพราะลูกค้ากลุ่มนี้ต้องการราคาถูกและเข้าอยู่ได้เร็ว เพราะว่าเขามีเม็ดเงินที่จำกัด ต้องช่วยเอาสิ่งที่เป็นครีม ๆ ให้กับเขา สิ่งที่เขาคิดว่าจำเป็น ไม่เอาเครื่องประดับเข้าไปมากจนเกินไป ไม่ใช้เทคนิกด้านการตลาดมากจนเกินไป ลูกค้ากลุ่มนี้ต้องการความเป็นจริงมากกว่า

เพราะฉะนั้นค่าการตลาด สิวารัตน์ จะต้องต่ำ เพื่อไปลดต้นทุน ถ้าค่าการตลาดสูงก็จะไปเพิ่มต้นทุนโดยใช่เหตุ และสิ่งที่ลูกค้าจะได้ก็ด้วยกว่า เพราะจะทำให้สิ่งที่เขาได้รับมันก็อาจจะด้อยกว่า เพราะฉะนั้นโดยทั่วไปแล้วเขาจะขายความเป็นจริง แล้วใช้กลยุทธ์การตลาดจากปากของลูกค้ามากกว่า ลูกค้าที่เข้ามาใช้โปรดักส์หรือเข้ามาอยู่ในโครงการ เป็นคนที่จะนำลูกค้าใหม่เข้ามา เพราะฉะนั้นเรื่องของซีอาร์เอ็ม เป็นหัวใจหลัก ดังนั้นก็จะมีลูกค้าซื้อซ้ำจากการที่ครอบครัวเขาขยายใหญ่ขึ้น จาก 1 ห้องนอน เป็น 2 ห้องนอน
                                        ข้อได้เปรียบของ  สิวารัตน์  ในตลาดทาวเฮ้าส์

                ลูกค้าเราที่เข้ามาประมาณ 60-80% อายุประมาณ 30-50 ปี จริง ๆ แล้ว เป็นคนกลุ่มนี้เลย ทำให้ค่อนข้างจะได้เปรียบเนื่องจากว่า เรามีโครงการลักษณะนี้ออกมาจำนวนมาก ลูกค้าที่อยู่ในมือของโครงการสิวารัตน์  ตอนนี้ประมาณสักหมื่นกว่าครอบครัว ขณะเดียวกันก็ยังมีลูกค้าค้างอยู่เยอะ เพราะฉะนั้นข้อมูลที่ได้ ก็จะได้จากลูกค้าที่เข้าไปอยู่ตรงนี้ว่า เขาใช้ชีวิตอย่างไร เขาซื้อกับข้าวอย่างไร วันเวลาของเขาแต่ละวันเป็นอย่างไร สินค้าที่เขาใช้เป็นประเภทไหน เขาใช้เวลาว่างของเขาอยู่ที่ตรงไหน พวกนี้ก็เป็นข้อมูล ในการเลือกทำเลพัฒนา เพราะจะเข้ามาเกี่ยวข้องหมด

                เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่ทำอยู่วันนี้ คือการทำงานบนฐานข้อมูลที่มีอยู่มากเพียงพอที่จะตอบการตลาดของ  สิวารัตน์   ได้ ถ้าไม่สามารถที่จะมองหาช่องทางที่จะอยู่รอดตรงนี้ บริษัทก็ไม่สามารถที่จะอยรอดได้

ฉะนั้นเขาที่คุณต้องการวันหยุดพักผ่อนได้ง่าย สะดวก สบาย คุณจะส่งลูกไปเรียนหนังสือก็ง่าย จะไปที่ทำงานก็ง่าย คุณจะเดินทางก็ง่าย

          ผู้ซื้อทาวเฮาส์ปัจจุบันส่วนใหญ่กังวลเรื่องไหนในการตัดสินใจซื้อ

                ส่วนใหญ่ที่เขาเข้ามาก็เป็นเรื่องของกฎระเบียบ สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่อง อะไรเป็นข้อจำกัด ซึ่งจะไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นเบื้องต้นที่เราต้องทำงานหนักมาก คือการให้เขาเรียนรู้กับกฎระเบียบ และให้เขารู้ว่ามันมีอะไรที่ไม่สะดวก อะไรทำได้ไม่ได้ ทำแบบนี้จะเสียหายอย่างไร หน้าบ้านคุณ ๆ จะวางอะไรไม่ได้  ถึงแม้คุณจะคิดว่าไม่มีอะไรเสียหาย สิ่งเหล่านี้เรียนรู้ได้และต้องยอมรับ
    เรื่องราคา ข้อแตกต่างจากที่อื่น ว่าถูกๆ /  ทำเลที่ดีกว่าน่าสนในกว่า/ ราคาประเมิณก็สูงกว่าเพราะเลือกในสิ่งที่ดี 


                           ทุกวันนี้ แบรนด์ สิวารัตน์
                       มีผลต่อการดำเนินงานของบริษัท

                ผมว่าก็มีส่วนที่แบรนด์ขับเคลื่อนบิสซิเนส แต่ก็ไม่ประเมินคิดว่า Brand Drive อย่างเดียว เพราะไม่อย่างนั้นเราอาจจะทำอะไรตามใจสิวารัตน์    มากกว่าที่จะทำตามความต้องการของลูกค้า ราคาก็ต้องมีส่วน ทำเลก็ต้องมีส่วน บริการก็มีส่วน เพราะเมื่อไรที่คิดว่า
Brand Drive
 สิวารัตน์  ก็อาจจะไม่ทำอย่างอื่น เพราะฉะนั้นนั่นไม่ใช่วิธีการของสิวารัตน์    และต้องประเมินตัวเองตลอดเวลา

      การพัฒนาแบรนด์อสังหาริมทรัพย์กับแบรนด์คอนซูเมอร์ทั่วไป ต่างกันอย่างไร

                คอนซูเมอร์ระยะเวลาเขาอาจจะสั้นกว่าอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัยเขาอยู่กับ สิวารัตน์ยาวไม่ได้หมายความว่าคุณซื้อไปแล้วสินทรัพย์ตัวนี้ก็จบในระยะสั้น เพราะไลฟ์มันอยู่กับคุณอาจจะตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นตัวนี้มันเป็นเรื่องที่สิวารัตน์   บอกว่า ทำธุรกิจนี้มีลูกค้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะมันเป็นเรื่องที่ต้องดูแลคนและคนมากขึ้นเรื่อย ๆ ปีหนึ่ง ๆ เรามีลูกค้าเข้ามา 6000 พันครอบครัว แต่เป็นหลายหมื่นคน แล้วชุมชนนับวันมันก็มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก่อนชุมชนหนึ่งอาจจะสองสามร้อยครอบครัว เดี๋ยวนี้ชุมชนหนึ่งเป็นพันครอบครัว ต่อไปเป็นชุมชนเมืองขึ้นมาจะทำอย่างไร ก็เป็นความลำบาก แต่มันก็เป็นความท้าทาย

แน่นอนแกนคือให้ Brand Drive  แต่อาจจะเป็น Brand Track      สิวารัตน์  ก็ได้    มันทำให้มีผลต่อ  สิวารัตน์   ได้  มันได้ทั้งสองอย่าง
เพราะฉะนั้นพวกนี้เป็นตัวที่เราต้องสร้าง Awareness ให้กับทีมงานเราตลอดเวลา ติดตามความรู้สึกนึกคิดของลูกค้าตลอดเวลา จะหลับตาไม่ได้ ต้องเปิดช่องทางให้ลูกค้าเข้ามาถึงคุณได้ตลอดเวลา                                                                                                                                            
                ก็ยังมีอย่างอื่นอยู่ แนวคิด  สิวารัตน์    อาจจะไม่ใช่แนวคิดของทุก ๆ คนก็ได้ เพราะแนวคิดอันนี้ก็เป็นจุดแข็ง

ก็ใช่ แต่ถามว่ามีโอกาสจะเป็นจุดอ่อนได้ไหม ก็ได้ จุดแข็งคือเซ็กเม้นท์ชัดเจน ลูกค้าก็มองเห็นคุณชัด นักลงทุนก็มองเห็นคุณชัด จุดอ่อนก็คือถ้าเกิดว่าเมื่อไรที่ดีมานด์ในเซ็กเม้นท์นี้หายไป ก็เท่ากับว่าคุณไม่มีช่องทางอื่น ก็ถือว่ามีความเสี่ยง แต่ในความเสี่ยงที่ สิวารัตน์  ดูก็อยู่ระดับน้อย เพราะดีมานด์ในกลุ่มนี้มันเยอะ ในขณะเดียวกันดีเวลลอปเปอร์ยังเข้ามาไม่เยอะ ยังมีอะไรที่เป็นกำแพงกั้นให้นักพัฒนารายใหม่เข้ามาในจุดนี้ เพราะมันมีเรื่องของไพร์ซซิ่งที่  สิวารัตน์   ได้พัฒนาไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ทำให้สิวารัตน์   มีต้นทุนที่ดีกว่าคู่ต่อสู้ ถ้าไพร์ซซิ่งเท่ากันมาร์จิ้นดีกว่า ถ้าเผื่อว่าต้องการให้มาร์จิ้นเท่ากับ สิวารัตน์  ไพร์ซซิ่งเขาต้องสูงกว่า สิวารัตน์ 

                 
แต่ในอนาคตมีโอกาส ถ้าระบบขนส่งมวลชนได้มีโอกาสขยับขยายออกไป เมื่อขยายออกไปเราก็อาจจะไปสร้างชุมชนเมืองที่สมบูรณ์ขึ้นมา ไม่ใช่เมืองที่มีเฉพาะที่อยู่อาศัยอย่างเดียว

                             คู่แข่งของ    สิวารัตน์      ในปัจจุบัน

                ก็ยังไม่เห็นมีเท่าที่ควร เพราะว่าในการทำเซ็กเม้นท์นี้มันไม่ได้ดูจุดเริ่มต้น ต้องดูตอนจบและยาวด้วย เนื่องจากว่าลูกค้าเยอะ ต้องดูการบริหารจัดการหลังจากที่ลูกค้าเข้าอยู่ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ เพราะปัญหาที่จะพบคือหลังจากลูกค้าเข้าอยู่ จะเป็นเรื่องที่ท้าทาย เราถือเป็นตัวซัพพอร์ทแบรนด์ เรื่องของการบริการคือเรื่องของการบริหารจิตใจคน ถ้าคุณไม่เริ่มที่จะเทคแคร์หรือไม่เอาใจใส่กับความคิดของลูกค้า ไม่มีทางทำได้ แต่วิธีไหนที่จะทำให้ลูกค้าเกิดบาลานซ์ระหว่างความพอใจกับกฎระเบียบ นี่เป็นเรื่องที่มันยาก

                เพราะฉะนั้นสิวารัตน์   อ้างบการตลาดมาใช้ในเรื่องของการบริการหลังการขายดีกว่า ค่าใช้จ่ายการตลาดของสิวารัตน์ ตอนนี้ให้ประมาณ 75% 15% เป็นด้านบริการหลังการขาย อีกประมาณ 10% เป็นเรื่องพีอาร์อยู่แค่นี้เอง น้อยมาก โดยเฉลี่ยค่าใช้จ่ายการตลาดประมาณ 0.45% ของยอดขายประมาณนี้เอง

                               จุดอ่อนที่ยังมีอยู่ และการแก้ไข
คือเวลานี้มันขึ้นกับโปรดักชั่นเป็นหลัก เพราะยิ่งทำเยอะก็ต้องนึกถึงคุณภาพ รักษาต้นทุน มันเป็นเรื่องที่ต้องเมนเทนให้อยู่โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบัน การทำโครงการในปัจจุบันก็ต้องให้ทันกับประแสปัจจุบันที่เป็นโครงการใหญ่ขึ้น ต้องคิดอะไรที่ใหม่ ๆ มันจะอยู่เฉยกับรูปแบบเดิมที่สิวารัตน์   ประสบความสำเร็จมาแล้วก็ไม่น่าจะเพียงพอ ก็ต้องมีการคิดอะไรใหม่ ซึ่งระยะหลังเราก็เริ่มโทเทิ่ล โซลูชั่นออกมาในแต่ละโครงการ มีบริการครบครันในชุมชนสำหรับการดำเนินชีวิตของลูกค้า เพราะโครงการใหญ่ขึ้นเราต้องเตรียมให้ลูกค้าให้พร้อม เขาต้องการอะไรบ้าง เอทีเอ็ม ไปรษณีย์ แคชเพย์เม้นท์ต่าง ๆ ซักรีด เรื่องของคลินิกควรจะมีหรือเปล่า

นี่คือไลฟ์ของเขา ก็ต้องค่อย ๆ ใส่เข้าไป เพื่อลดจุดอ่อนของชุมชน แต่ก่อนอาจจะไม่ได้คิดขนาดนี้   ต้องคิดมากกว่าเดิม  

               ลูกค้าส่วนใหญ่ตัดสินใจเลือก โครงการสิวารัตน์ ด้วยเหตุผลอะไร

                ผมว่าสิวารัตน์  ประเด็นแรก หนึ่ง-โลเกชั่นดี สอง-ไพร์ซซิ่งดี สาม-เซอร์วิสดี ลูกค้าที่รู้จักสิวารัตน์  จะแฮปปี้ตรง 2-3 จุดนี้มาก จุดที่ทำให้เขาตัดสินใจซื้อก็หนีไม่พ้น 3 เรื่องนี้ ต้องดูทำเลก่อน ราคา ต้องชอบทำเลก่อน ถ้าไม่ชอบทำเล คุณจะซื้อเพราะแบรนด์หรือ ก็ไม่ คุณต้องซื้อเพราะว่าทำเลนี้เป็นทำเลที่คุณต้องการ ใกล้อะไร ใกล้ครอบครัวเดิม ที่ทำงาน สะดวกไหม อย่างไรก็ตามต้องเอาโลเกชั่นก่อน แล้วไพรซ์ซิ่งตาม ถ้าโลเกชั่นผิดก็คือผิด

                ถ้าโครงการตั้งใกล้กันเมื่อนั่นแบรนด์จะทำงาน เพราะใกล้กันมันก็จะเปรียบเทียบต่อ ราคาเป็นอย่างไร อย่างไรลูกค้าก็ต้องมองราคาอยู่ อาจจะมีบ้างที่ให้กับตัวแบรนด์ แต่ผมว่าลูกค้าโดยทั่วไป ถ้ายังไม่รู้จักแอลพีเอ็นดี เขาควรจะต้องดูไพร์ซซิ่ง

                เหมือนที่เวลาสิวารัตน์  ทำโฆษณา ก็จะลงในชุมชนนั้น บริเวณนั้น ไม่ได้ออกไปข้างนอก ถ้าโครงการได้มีการตั้งฐานไว้ต่อเนื่อง ลูกค้าเก่าก็เข้ามาเยอะมาก ถ้าเป็นทำเลใหม่ก็จะเป็นลูกค้าใหม่ทั้งนั้น เป็นฐานใหม่ เพราะฉะนั้นความคิดก็จะคนละอย่าง

  ยุคเศรษฐกิจแบบนี้ น้ำมันแพง ดอกเบี้ยขึ้น ค่าใช้จ่ายจำกัด มีผลกระทบไหม

                เท่าที่ผ่านมายังไม่มี ทุกอย่างยังโอเค การตอบรับของลูกค้าที่เข้ามาแต่สัปดาห์ก็ยังใช้ได้ ปีนี้ 2554  มีสินค้าออกมาทั้งหมด 1000  พันล้านบาท ครึ่งปีแรกจำหน่ายไปแล้วประมาณ 90 % เหลือไม่เท่าไรสำหรับครึ่งปีหลัง

ตำแหน่งปัจจุบัน
รองกรรมการผู้จัดการ                                                                    
หมู่บ้านสิวารัตน์  บริษัท  ค่าสเซ่อพีค เรียลเอสเตท จำกัด 

การศึกษา
ปริญญาตรี วิศวกรรม(อสบ.)  -ปริญญาตรี ครุศาสตน์  M B A บริหารธุรกิจ MPA ,DBA  in Global  Management

ประวัติการทำงาน
จนถึงปับจุบัน ในนาม ตราสินค้าชื่อ  หมู่บ้าน สิวารัตน์

หน้าที่พิเศษ
 ผู้ทรงคุณวุฒิ  ในคณะกรรมการจัดสรรที่ดิน จังหวัด นครปฐม 2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น