(ผู้จัดการโครงการ ) การเตรียมแผนบริหารโครงการ
การพัฒนาให้ความรู้ผู้บริหารโครงการให้มีความรู้มากขึ้น
ภาวะผู้นำ
Œความหมายและคุณสมบัติของผู้นำ
ลักษณะภาวะผู้นำ
Žคุณลักษณะของผู้นำ
ภาวะผู้นำที่มีความสามารถพิเศษและภาวะผู้นำเชิงปฏิรูป
ประสิทธิผลของพฤติกรรมและทัศนคติของผู้นำ
‘รูปแบบของภาวะผู้นำแบบคลาสสิก
’รูปแบบของภาวะผู้นำแบบคลาสสิก
“อำนาจ การเมือง และภาวะผู้นำ
”การพัฒนาทีมงาน
•การพัฒนาภาวะผู้นำ
ŒŒการบริหารองค์กร
Œความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการทำงานเป็นทีม
ŒŽคุณประโยชน์ของทีมงาน
Œรูปแบบการทำงานเป็นทีม
Œนโยบายและวัตถุประสงค์ของกิจกรรมนักศึกษา
ความหมายและคุณสมบัติของผู้นำ ผู้จัดการโครงการสิวารัตน์( ต้องมี)
ความแตกต่างระหว่างการเป็นผู้นำกับการเป็นหัวหน้า หัวหน้า คือ ตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้ง มีอำนาจหน้าที่ตามกฎบริษัท แต่ ภาวะผู้นำเป็นลักษณะในตัวบุคคลที่ทำให้ผู้อื่นยอมรับนับถือ.. คุณสมบัติของผู้นำตามอักษรแต่ละตัวในคำว่า LEADERSHIP มีความหมายบ่งชี้ถึงลักษณะต่างๆ ของผู้นำที่ดี ดังนี้
1. L คือ Listen เป็นผู้ฟังที่ดี..
2. E คือ Explain สามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ให้เข้าใจได้..
3. A คือ Assist ช่วยเหลือเมื่อควรช่วย…
4. D คือ Discuss รู้จักแลกเปลี่ยนความคิดเห็น..
5. E คือ Evaluation ประเมินผลการปฏิบัติงาน..
6. R คือ Response แจ้งข้อมูลตอบกลับ…
7. S คือ Salute ทักทายปราศรัย...
8. H คือ Health มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ..
9. I คือ Inspire รู้จักกระตุ้นและให้กำลังใจลูกน้อง..
10. P คือ Patient มีความอดทนเป็นเลิศนั่นเอง..
2. E คือ Explain สามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ให้เข้าใจได้..
4. D คือ Discuss รู้จักแลกเปลี่ยนความคิดเห็น..
5. E คือ Evaluation ประเมินผลการปฏิบัติงาน..
6. R คือ Response แจ้งข้อมูลตอบกลับ…
7. S คือ Salute ทักทายปราศรัย...
8. H คือ Health มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ..
9. I คือ Inspire รู้จักกระตุ้นและให้กำลังใจลูกน้อง..
10. P คือ Patient มีความอดทนเป็นเลิศนั่นเอง..
ลักษณะภาวะผู้นำ ผู้จัดการโครงการสิวารัตน์
1. ความหมาย ลักษณะของผู้นำและภาวะผู้นำ
ความหมายของภาวะผู้นำ ( Leadership ) มีดังนี้
1.1 พฤติกรรมส่วนตัวของบุคคลคนหนึ่งที่จะชักนำกิจกรรมของกลุ่มให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน
1.2 เป็นความสัมพันธ์ที่มีอิทธิพลระหว่างผู้นำ และผู้ตาม ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายร่วมกัน
1.3 เป็นความสามารถที่จะสร้างความเชื่อมั่นและให้การสนับสนุนบุคคลเพื่อให้บรรลุเป้าหมายองค์การ
2. ปัจจัยที่ผู้นำจะต้องเกี่ยวข้อง ประกอบด้วย อิทธิพล, ความตั้งใจ, ความรับผิดชอบ, การเปลี่ยนแปลง, มีจุดมุ่งหมายร่วมกัน และมีการจูงใจให้ปฎิบัติตาม
3. บทบาทและภาวะผู้นำ ภาวะผู้นำที่ดีขององค์การ ควรมีลักษณะดังนี้
o เป็นตัวแทนในทุกสถานการณ์
o เป็นนักพูดที่ดี
o เป็นนักเจรจาต่อรอง
o การสอนงาน
o เป็นผู้สามารถสร้างทีมงานได้
o แสดงบทบาทการทำงานเป็นทีม
o สามารถแก้ปัญหาด้านเทคนิคได้
o การประกอบการ
4. การบริหารจัดการและภาวะผู้นำ ( Management ) เป็นกระบวนการนำเสนอทรัพยากรการบริหารมาใช้ให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามขั้นตอนการบริหาร ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ
4.1 การวางแผน ( Planning ) การกำหนดวัตถุประสงค์, การตัดสินใจ, การวางแผน
4.2 การจัดองค์การ ( Organizing ) การรวบรวมทรัพยากร, การจัดหาคนเข้าทำงาน, การจัดโครงสร้าง
4.3 การนำ ( Leading ) การจูงใจ, การมีอิทธิพลและการติดต่อสื่อสาร
4.4 การควบคุม ( Controlling ) การตรวจสอบ, การบริการสินค้า, กระบวนการ และการควบคุมคุณภาพ
คุณลักษณะของผู้นำโครงการสิวารัตน์
1. คุณลักษณะด้านบุคลิกภาพของผู้นำที่มีประสิทธิผล มีลักษณะดังนี้
1. เป็นบุคคลที่ทำให้องค์การประสบความก้าวหน้า และบรรลุผลสำเร็จ
2. เป็นผู้ที่มีบทบาทที่สามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา
3. การจูงใจผู้อื่นให้ปฎิบัติตาม การติดต่อสื่อสาร และมีอิทธิพลเหนือผู้ใต้บังคับบัญชาตามอำนาจหน้าที่ของการบริหารที่ดำรงตำแหน่งอยู่
4. ผู้นำมีส่วนทำให้เกิดวิสัยทัศน์ขององค์การและของพนักงาน ซึ่งรวมถึงผู้นำที่สามารถใช้อำนาจ อิทธิพลต่าง ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อนำกลุ่มประกอบกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งด้วย
5. ผู้นำยังเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อกลุ่ม และสามารถนำกลุ่มให้ปฎิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ
2. แรงจูงใจของภาวะผู้นำ ( Leadership motives ) เป็นความจำเป็น , ความต้องการ, แรงกระตุ้น, ความปรารถนา หรือสภาพภายในของบุคคล ซึ่งมีพลังกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่จะบรรลุเป้าหมาย ผู้นำที่มีประสิทธิผลมักแสดงลักษณะเด่นด้านแรงจูงใจ ซึ่งมีพลังกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่จะตอบสนองความต้องการด้านการยอมรับ การยกย่อง และความต้องการประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต แรงจูงใจที่เกี่ยวข้องกับงานมีดังนี้
2.1 แรงจูงใจด้านอำนาจ ( The power motive )
2.2 แรงกระตุ้นและแรงจูงใจเพื่อให้เกิดความสำเร็จ ( Drive and achievement motive )
2.3 ยึดมั่นในจริยธรรมการทำงาน ( Strong work ethic )
2.4 ความมุ่งมั่น ( Tenacity )
3. ปัจจัยด้านสติปัญญาเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจและภาวะผู้นำ หมายถึง กระบวนการด้านสติปัญญาในการรวบรวมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะผู้นำ ความสามารถด้านสติปัญญาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จของภาวะผู้นำ ผู้นำจำเป็นต้องมีระดับสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดเพราะจะทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และมีความสามารถที่จะแสวงหาข้อมูลที่จำเป็น
3.1 ทฤษฎีความสามารถด้านสติปัญญาและทฤษฎีความรู้ความเข้าใจ เป็นทฤษฎีที่ช่วยสนับสนุนและพัฒนาภาวะผู้นำให้เกิดความสามารถด้านสติปัญญาและความรู้ความเข้าใจในการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิผล ทฤษฎีความเข้าใจ มีสมมติฐานที่เป็นพื้นฐานสำคัญ 2 ประการคือ ผู้นำที่มีระดับสติปัญญาและมีความสามารถสูงกว่า มีแผนงาน มีการตัดสินใจและมีกลยุทธ์ดีกว่าผู้นำที่มีระดับสติปัญญาและความสามารถต่ำกว่า , ผู้นำกลุ่มงาน จะสื่อสารแผนงาน มีการตัดสินใจ และมีกลยุทธ์การปฎิบัติงานเริ่มแรกในรูปของพฤติกรรมแบบบงการ
3.2 ทฤษฎีความรู้ความเข้าใจ จะขึ้นอยู่กับสมมติฐานซึ่งมุ่งที่ความสามารถด้านสติปัญญาดังนี้
3.2.1 ถ้าผู้นำเน้นประสบการณ์ จะทำให้ความสามารถและสติปัญญาของเขาหันเหไปจากงานที่มีอยู่ ซึ่งเป็นผลให้การวัดระดับสติปัญญาและความสามารถของผู้นำจะไม่สัมพันธ์กับการทำงานกลุ่ม
3.2.2 ความสามารถด้านสติปัญญา ของผู้นำแบบบงการ จะสัมพันธ์อย่างสูงกับผลการปฎิบัติงานของกลุ่มมากกว่าความสามารรถด้านสติปัญญามากกว่าผู้นำที่ไม่ใช่แบบบงการ
3.2.3 ความสามารถด้านสติปัญญาของผู้นำจะสัมพันธ์กับผลการปฎิบัติงานของกลุ่มซึ่งจะต้องใช้ความสามารถด้านสติปัญญาด้วย
ภาวะผู้นำที่มีความสามารถพิเศษและภาวะผู้นำเชิงปฏิรูป ผู้นำสิวารัตน์ คิดใหม่ทำใหม่เสมอ
1. ทฤษฎีภาวะผู้นำที่มีความสามารถพิเศษของ House พอสรุปได้ดังนี้
1.1 ผู้ใต้บังคับบัญชาให้ความไว้วางใจในการกระทำที่ถูกต้องของผู้นำ
1.2 ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดความเชื่อถือในผู้นำ
1.3 ผู้ใต้บังคับบัญชายอมรับการกระทำของผู้นำ
1.4 ผู้ใต้บังคับบัญชาจะไม่มีการพูดให้ร้ายต่อผู้นำเพราะมีความชอบในตัวผู้นำ
1.5 ผู้ใต้บังคับบัญชาจะอยู่ในโอวาทเชื่อฟัง
1.6 ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดการเอาอย่างผู้นำ
1.7 ผู้ใต้บังคับบัญชาจะมีอารมณ์อยากทำงานร่วมกับกลุ่ม
1.8 ผู้ใต้บังคับบัญชาปฎิบัติงานให้เป็นไปตามเป้าหมายในระดับสูง
1.9 ผู้ใต้บังคับบัญชาอุทิศตนเพื่อความสำเร็จในงานหรือกลุ่ม หรือรับรู้ที่จะช่วยเหลือกลุ่มให้บรรลุภารกิจ
2. ชนิดของผู้นำที่มีความสามารถพิเศษ แบ่งออกได้เป็น 5 ชนิดคือ
2.1 ผู้นำที่มีความสามารถพิเศษด้านสังคม
2.2 ผู้นำที่มีความสามารถพิเศษซึ่งมุ่งที่ตนเอง
2.3 ผู้นำที่มีความสามารถพิเศษด้านการควบคุมสำนักงาน
2.4 ผู้นำที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะตัว
2.5 ผู้นำที่มีความสามารถพิเศษด้านพรสวรรค์
3. ลักษณะของผู้นำที่มีความสามารถพิเศษ
3.1 เป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์
3.2 เป็นผู้มีความสามารถด้านทักษะการสื่อสาร
3.3 เป็นผู้ที่มีความสามารถก่อให้เกิดความไว้วางใจ
3.4 เป็นผู้ที่สามารถทำให้สมาชิกของกลุ่มรู้สึกว่าเขามีความสามารถ
3.5 เป็นผู้ที่มีพลังและมุ่งที่การปฎิบัติให้บรรลุผล
3.6 เป็นผู้ที่มีการแสดงอารมณ์ได้อย่างเหมาะสมและมีความเอื้ออาทรหรือให้ความอบอุ่นกับผู้อื่น
3.7 เป็นผู้ที่ชอบที่จะเสี่ยง
3.8 เป็นผู้ที่ใช้กลยุทธ์ใหม่ที่มีลักษณะโดดเด่น ( ไม่ทำตามแบบดั้งเดิม )
3.9 เป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพที่ส่งเสริมตนเอง
3.10 เป็นผู้ที่พยายามที่จะมีความขัดแย้งภายในให้น้อยที่สุด
4. ทฤษฎีว่าด้วยภาวะผู้นำเชิงปฏิรูป มีดังนี้
4.1 ทฤษฎีว่าด้วยภาวะผู้นำเชิงปฏิรูปของ Burn
4.2 ทฤษฎีว่าด้วยภาวะผู้นำเชิงปฏิรูปของ Bass
4.3 การวิจัยค้นคว้าของ Tichy Devanna
ประสิทธิผลของพฤติกรรมและทัศนคติของผู้นำ ผู้จักการโครงการสิวารัตน์ ต้องมีหลักการ
1. ภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมในการปฎิบัติงาน เป็นผู้นำที่ใช้หลักการเข้าร่วมปรึกษาหารือในกลุ่มแทนที่จะเป็นผู้ตรวจสอบการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคน ซึ่งประกอบด้วย
1.1 การตัดสินใจแบบเผด็จการ
1.2 การปรึกษาหารือ
1.3 การตัดสินใจร่วมกัน
1.4 การมอบหมายงาน
2. ทฤษฎีสากลว่าด้วยประสิทธิผลของพฤติกรรมผู้นำ เป็นการศึกษาทฤษฎีที่สำคัญ 2 ประการคือ ทฤษฎีภาวะผู้นำที่มุ่ง ( Task oriented ) และทฤษฎีภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมในการปฎิบัติ
3. ภาวะผู้นำที่ดีเลิศ ( Superleadership ) เป็นภาวะผู้นำที่กล้าเสี่ยง โดยเปิดโอกาสให้บุคคลนำตนเองได้พนักงานจะสามารถเพิ่มโอกาสในการปฏิบัติงานได้ดีมากขึ้น
วิธีการที่บุคคลควรฝึกฝนการมีภาวะผู้นำในตนเองควรกระทำดังนี้
1. ระบุและแก้ไขความเชื่อและข้อสมมติที่ไม่ดี
2. การเจรจาในทางสร้างสรรค์และเป็นบวก
3. หาวิธีการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิผล
รูปแบบของภาวะผู้นำแบบคลาสสิก
1. ลำดับความต่อเนื่องของภาวะผู้นำ : รูปแบบของภาวะผู้นำแบบคลาสสิก
เป็นการศึกษาถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างพฤติกรรมของผู้นำ 2 รูปแบบคือ
1. ภาวะผู้นำที่มุ่งที่หัวหน้าเป็นศูนย์กลาง เปรียบเทียบกับผู้นำที่มุ่งพนักงานเป็นศูนย์กลาง
2. ลำดับความต่อเนื่องของภาวะผู้นำแบบเผด็จการ, แบบมีส่วนร่วมและแบบให้เสรีภาพ
2. ตารางการเป็นผู้นำ หรือตารางการบริหาร เป็นตารางการบริหารซึ่งใช้เป็นกรอบงานที่เกี่ยวข้องกับมุมมองของผู้นำที่มีต่องานและต่อพนักงาน และยังเป็นระบบที่ทำให้เกิดความเข้าใจสำหรับการฝึกอบรมผู้นำและการพัฒนาองค์การ กรอบงานจะเกี่ยวข้องกับมุมมองของผู้นำ ดังนี้
2.1 การมุ่งงาน (Concern for results หรือ Task orientation ) เป็นภาวะผู้นำที่มุ่งที่การเพิ่มผลผลิต
2.2 การมุ่งที่พนักงาน ( Concern for people ) เป็นภาวะผู้นำที่มุ่งที่การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพนักงาน
3. รูปแบบของภาวะผู้นำแบบผู้ประกอบการมีลักษณะดังนี้
1. มีแรงจูงใจที่จะประสบความสำเร็จสูง และเผชิญความเสี่ยงอย่างมีเหตุผล
2. การมีความกระตือรือร้น และการสร้างสรรค์สูง
3. มีแนวโน้มที่จะตอบสนองอย่างรวดเร็วเมื่อมีโอกาส
4. เร่งรีบเป็นประจำ
5. มองเหตุการณ์ล่วงหน้าอย่างมีวิสัยทัศน์
6. ไม่ชอบงานที่มีลำดับขั้นตอนและระบบราชการ
7. ชอบที่จะพบกับลูกค้า
ทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ ผู้จัดการ โครงการสิวารัตน์ มีความรู้แบบวิชาการ
1. รูปแบบของภาวะผู้นำ ( Leadership style ) เป็นรูปแบบพฤติกรรมของผู้นำที่กำหนดขึ้นเพื่อนำสมาชิกขององค์การให้เป็นไปตามการบังคับบัญชาที่เหมาะสม ในทฤษฎีของ Fiedler มี 2 ประการดังนี้
1. การศึกษารูปแบบของผู้นำที่ความสัมพันธ์ เป็นผู้นำที่มุ่งความเกี่ยวข้องกับพนักงาน ผู้นำประเภทนี้จะสร้างความไว้วางใจ ความเคารพนับถือและรับฟังความต้องการของพนักงาน จะมีลักษณะเหมือนกับผู้นำแบบที่คำนึงถึงผู้อื่นเป็นหลัก
2. ผู้นำที่มุ่งงาน เป็นผู้นำที่มุ่งความสำเร็จในงาน จะกำหนดทิศทางและมาตรฐานในการทำงานไว้อย่างชัดเจน มีลักษณะคล้ายกับผู้นำแบบที่เริ่มต้นจากตนเองเป็นหลัก
2. ลักษณะสำคัญของทฤษฎีเส้นทางสู่เป้าหมาย คือ ผู้บริหารควรเลือกรูปแบบของภาวะผู้นำซึ่งนำไปสู่การกำหนดลักษณะของพนักงานและความต้องการในงาน ซึ่งทฤษฎีนี้มีลักษณะสำคัญ 2 ประการคือ
1. ความเหมาะสมระหว่างรูปแบบของภาวะผู้นำในสถานการณ์ต่าง ๆ
2. วิธีการที่ผู้นำมีอิทธิพลต่อผลการปฎิบัติงานของพนักงาน
3. ภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ในการบริหารระดับสูง
ผู้บริหารระดับสูงสามารถสร้างภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ได้ 5 แนวคิดดังนี้
1. แนวคิดเชิงกลยุทธ์
2. แนวคิดด้านมนุษย์เป็นสินทรัพย์
3. แนวคิดความเชี่ยวชาญ
4. แนวคิดการสกัดกั้น
5. แนวคิดด้านตัวแทนการเปลี่ยนแปลง
อำนาจ การเมือง และภาวะผู้นำ ผู้จัดการโครงการสิวารัตน์ ไม่บ้าอำนาจ
1. แหล่งและประเภทของอำนาจของภาวะผู้นำ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. อำนาจตามตำแหน่งงาน
2. อำนาจส่วนบุคคล
3. อำนาจที่มาจากการเป็นเจ้าของ
4. อำนาจจากการจัดสรรทรัพยากร
5. อำนาจที่เกิดจากความสามารถในการแสวงหาโอกาส
6. อำนาจที่มาจากการจัดการกับปัญหาที่สำคัญ
7. อำนาจที่มาจากการใกล้ชิดกับผู้ที่มีอำนาจ
2. ยุทธวิธีสำหรับการเป็นผู้นำที่มีการมอบอำนาจ
ลักษณะของการมอบอำนาจและการปฎิบัติเกี่ยวกับการมอบอำนาจให้กลุ่มมีดังนี้
1. ลักษณะของการมอบอำนาจ
2. การปฎิบัติการด้านการมอบอำนาจ
3. ยุทธวิธีและกลยุทธ์ทางการเมือง จะกระตุ้นให้เกิดยุทธวิธีใหม่ ๆ ดังนี้
1. ยุทธวิธีและกลยุทธ์ทางการเมืองที่มีจริยธรรม
2. กลยุทธ์และยุทธวิธีการแสวงหาอำนาจโดยตรง
3. กลยุทธ์และยุทธวิธีมุ่งสร้างความสัมพันธ์
4. การหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทางการเมือง
5. ยุทธวิธีและกลยุทธ์ทางการเมืองที่ไม่มีจริยธรรม
การพัฒนาทีมงาน ผู้จัดการโครงการสิวารัตน์ ทำงานเป็นทีม
1. ความเป็นผู้นำแบบทีมงาน และความเป็นผู้นำแบบฉายเดี่ยว
- ความเป็นผู้นำแบบทีมงาน ( Team leadership ) เป็นภาวะผู้นำซึ่งมีภารกิจร่วมทำงานกับสมาชิก เพื่อกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งภายในองค์การ ผู้นำแบบทีมงานจึงจำเป็นต้องกระจายอำนาจให้กับทีมงาน พัฒนาเพื่อร่วมงานและกระตุ้นให้ทีมสร้างสรรค์ภารกิจใหม่ ๆ ขึ้นมา
- ความเป็นผู้นำแบบฉายเดี่ยว ( Solo leadership ) เป็นภาวะผู้นำที่แสดงหลายบทบาทในคนเดียวกัน โดยมุ่งใช้ความเด็ดขาด ชี้นำลูกน้อง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
2. ข้อดีข้อเสียของการทำงานเป็นกลุ่ม และการทำงานเป็นทีม
1. การทำงานเป็นกลุ่ม หมายถึง การรวมตัวกันของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อทำงานร่วมกับบุคคลอื่นให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ โดยอาจเป็นการรวมกันอย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการก็ได้
2. การทำงานเป็นทีม หมายถึง การที่บุคคลหลาย ๆ คนมารับผิดชอบงานร่วมกันเพื่อบรรลุวัตถุ
ประสงค์ร่วมกัน ซึ่งบุคคลแต่ละคนล้วนมีพื้นฐาน แนวความคิด ทัศนคติและประสบการณ์ที่แตกต่างกัน
3. พฤติกรรมและทัศนคติของผู้นำที่จะเกื้อกูลทีมงานที่ช่วยสนับสนุนให้เกิดทีมงานที่มีประสิทธิผล
1. การกำหนดภารกิจของทีม
2. การกำหนดบรรทัดฐานของทีมงานและใช้ทฤษฎีความร่วมมือ
3. การมุ่งเน้นความภาคภูมิใจในความเป็นเลิศ
4. จัดให้มีการรวมตัวชุมนุมกัน
5. ปฎิบัติต่อสมาชิกของทีมเสมือนเป็นตัวต้นแบบของทีม
6. การใช้วิธีการนำแบบการลงมติเอกฉันท์
7. การออกแบบโครงสร้างทางกายภาพที่จะเอื้ออำนายต่อการสื่อสาร
8. กำหนดความเร่งด่วน การเรียกร้องมาตรฐานการทำงาน และการให้การชี้นำ
9. การมุ่งเน้นการเห็นคุณค่าของกลุ่มและการให้รางวัล
10. กระตุ้นการพัฒนากลุ่มอย่างสม่ำเสมอ
11. สนับสนุนให้มีการแข่งขันกับกลุ่มอื่น
12. สนับสนุนให้มีการใช้ภาษาเฉพาะกลุ่ม
13. การริเริ่มให้มีการใช้พิธีการและพิธีเกี่ยวกับระเบียบแบบแผน
14. รวบรวมผลป้อนกลับด้านประสิทธิผลของทีมงาน
15. ลดการบริหารให้มีน้อยที่สุด
4. การฝึกอบรมนอกสถานที่และการพัฒนาทีมงาน เป็นแนวทางการศึกษาวิธีการพัฒนาทีมงานอีกวิธีหนึ่งก็คือ การมีส่วนร่วมในกิจกรรมจากประสบการณ์ ซึ่งเป็นวิธีการให้ผู้มีส่วนร่วมเรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ในสภาพแวดล้อมในการฝึกอบรมเกี่ยวกับปัญหาซึ่งเผชิญในการทำงาน
การจูงใจและทักษะการสอนงาน
1. ทฤษฎีความคาดหวัง หมายถึง การที่บุคคลได้รับการกระตุ้นจากภายในให้แสดงพฤติกรม โดยเป็นอิทธิพลภายในบุคคลซึ่งเป็นแรงผลักดันให้บุคคลใช้ความพยายามในการทำงาน โดยเป็นสิ่งเร้าใจให้บุคคลเกิดความคิดริเริ่ม ควบคุมรักษาพฤติกรรมและการกระทำของตนเองได้ ดังนั้นจึงถือเป็นทฤษฎีที่เสนอว่าบุคคลแต่ละคนจะทำการตัดสินใจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานโดยถือเกณฑ์ความสามารถในการรับรู้ในผลการปฏิบัติงานและการได้รับรางวัล
2. ทฤษฎีการกำหนดเป้าหมาย เป็นทฤษฎีการจูงใจในการทำงานซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานกับลักษณะของเป้าหมายซึ่งเกี่ยวข้องการทำงานนั้น กล่าวคือพฤติกรรมของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นผลมาจากความตั้งใจในการบรรลุเป้าหมาย ซึ่งการกำหนดเป้าหมายคือการกำหนดแรงจูงใจในการปฏิบัติงานนั่นเอง
3. ทักษะและเทคนิคการสอนงาน มีดังนี้
1. การสื่อสารเกี่ยวกับความคาดหวังที่ชัดเจน
2. ให้สมาชิกของทีมเข้าใจ ให้ข้อมูลป้อนกลับที่เฉพาะเจาะจง
3. ตั้งใจฟังอย่างกระตือรือร้น
4. ช่วยขจัดอุปสรรค
5. ให้ความช่วยเหลือด้านอารมณ์
6. ความเข้าใจอารมณ์ของทีมงาน
7. สะท้อนความรู้สึกต่อเนื้อหาและความสำคัญของการสอนงาน
8. เป็นผู้ให้คำแนะนำเชิงสร้างสรรค์
9. ยินยอมให้แสดงผลการปฏิบัติงานและพฤติกรรมที่พึงปรารถนา
10. สร้างพันธะผูกผันในการเปลี่ยนแปลงร่วมกัน
การพัฒนาภาวะผู้นำ ผู้จัดการโครงการสิวารัตน์ มีการพัฒนาสร้างสรรนวัตกรรมเสมอ
ผู้ที่ประสบความสำเร็จมักจะมีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างไปจากคนทั่วๆไป นั่นก็คือ ภาวะผู้นำ (Leadership) เพราะสิ่งนี้จะเป็นขุมพลังในการขับเคลื่อนให้ชีวิตของคนมุ่งไปข้างหน้า พลังดังกล่าวนี้ไม่ได้เกิดจากพลังภายในตัวคนๆนั้นเพียงอย่างเดียว แต่เป็นพลังร่วม (Synergy)ระหว่างพลังภายในของคนๆนั้นกับพลังของคนอื่นๆรอบข้างที่เป็นผู้ตามซึ่งมีส่วนช่วยส่งเสริมให้พลังงานที่ขับเคลื่อนมีเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ
เราจะเห็นคนบางคนไม่ได้เป็นคนเก่งงานหรือมีความสามารถเลอเสิศอะไรไปกว่าคนอื่นๆ พูดง่ายๆว่าฝีมือในการทำงานก็ไม่ได้หวือหวาเท่าไหร่ แต่ทำไมเขาจึงสามารถชักจูง โน้มน้าว นำเสนอให้ผู้บริหารเห็นด้วย คล้อยตามและอนุมัติโครงการที่เขาเสนออยู่เสมอ รวมทั้งคนที่ทำงานรอบๆตัวเขาก็ยินยอมพร้อมใจและรู้สึกยินดีที่ได้ทำงานร่วมกับเขา ทั้งๆที่คนบางคนที่ทำงานให้เขามีความสามารถในการทำงานเก่งกว่าเขาตั้งหลายเท่า คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ผมจะเฉลยคำตอบให้สั้นๆ ง่ายๆ แต่สร้างได้ยาก นั่นก็คือ เขาที่ถูกกล่าวถึงนั้นมีคุณสมบัติของการเป็นผู้นำนั่นเอง คุณสมบัติการเป็นผู้นำไม่ได้หมายถึงเพียงกล้าแสดงความคิดเห็นเวลาอยู่ในที่ประชุม พูดมากกว่าคนอื่นเสมอ ชอบเสนอหน้า หรือแสดงตนเป็นผู้นำอยู่เสมอ แต่หมายถึง ความเหนือกว่าบุคคลอื่นในด้านจิตวิทยา ระบบการคิดวิเคราะห์ การควบคุมอารมณ์ บุคลิกภาพ รวมถึงปฏิภาณไหวพริบในการแก้ปัญหาต่างๆ ถ้าภาวะผู้นำเปรียบเสมือนคุณภาพของผลไม้ กระบวนการในการพัฒนาภาวะผู้นำก็น่าจะหมายถึง การคัดเลือก เมล็ดพันธุ์ที่ดี การคัดเลือกดินที่สมบูรณ์ การรดน้ำพรวนดินอย่างถูกต้อง รวมถึงการกำจัดแมลงที่เป็นศัตรูพืช
ดังนั้น การที่เราจะพัฒนาภาวะผู้นำจึงไม่สามารถทำได้โดยตรงที่ผลของต้นไม้ แต่จะต้องพัฒนากระบวนต่างๆที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของผลไม้มากกว่า ถ้าเราจะพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้นำตามกระบวนการของผลิตผลไม้ที่มีคุณภาพแล้ว ควรจะปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. การหาเมล็ดพันธุ์
สิ่งแรกสุดที่เราต้องทำในการพัฒนาภาวะผู้นำคือ การหารูปแบบ ตัวอย่าง (Model) หรือสไตล์ผู้นำที่เราชอบและต้องการ ซึ่งอาจจะเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จ บุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านต่างๆ ก่อน อาจจะเป็นลักษณะของผู้นำเพียงคนเดียว หรือเป็นส่วนผสมระหว่างผู้นำหลายๆคนก็ได้ เพื่อให้เราได้รูปแบบผู้นำที่เราพึงปรารถนาก่อนก่อนที่จะลงมือทำอย่างอื่น นอกจากนี้เราสามารถหารูปแบบของภาวะผู้นำที่ดีได้จากตำรับตำราหรือหนังสือต่างๆได้ไม่ยากนัก
สิ่งแรกสุดที่เราต้องทำในการพัฒนาภาวะผู้นำคือ การหารูปแบบ ตัวอย่าง (Model) หรือสไตล์ผู้นำที่เราชอบและต้องการ ซึ่งอาจจะเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จ บุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านต่างๆ ก่อน อาจจะเป็นลักษณะของผู้นำเพียงคนเดียว หรือเป็นส่วนผสมระหว่างผู้นำหลายๆคนก็ได้ เพื่อให้เราได้รูปแบบผู้นำที่เราพึงปรารถนาก่อนก่อนที่จะลงมือทำอย่างอื่น นอกจากนี้เราสามารถหารูปแบบของภาวะผู้นำที่ดีได้จากตำรับตำราหรือหนังสือต่างๆได้ไม่ยากนัก
2. การหาดิน
หมายถึง การเสาะหาที่เพาะบ่มรูปแบบของผู้นำที่เรากำหนดไว้แล้ว เช่น ถ้าต้องการมีภาวะผู้นำเหมือนนักการเมือง เราควรจะนำตัวเข้าไปใกล้ชิดกับวงการทางการเมืองหรือนักการเมือง ถ้าเราต้องการมีภาวะผู้นำแบบนักพูดทอล์คโชว์ เราคงจะต้องนำตัวเองเข้าไปคลุกคลีกับคนในวงการนี้หรือถ้าเราต้องการมีภาวะผู้นำเหมือนนักธุรกิจบางคน เราก็อาจจะต้องนำตัวเองเข้าไปใกล้ชิดกับวงการธุรกิจ เพื่อใช้สภาพแวดล้อมนั้นๆเป็นที่ฝังตัวในการแตกหน่อภาวะผู้นำในลักษณะที่ต้องการ
หมายถึง การเสาะหาที่เพาะบ่มรูปแบบของผู้นำที่เรากำหนดไว้แล้ว เช่น ถ้าต้องการมีภาวะผู้นำเหมือนนักการเมือง เราควรจะนำตัวเข้าไปใกล้ชิดกับวงการทางการเมืองหรือนักการเมือง ถ้าเราต้องการมีภาวะผู้นำแบบนักพูดทอล์คโชว์ เราคงจะต้องนำตัวเองเข้าไปคลุกคลีกับคนในวงการนี้หรือถ้าเราต้องการมีภาวะผู้นำเหมือนนักธุรกิจบางคน เราก็อาจจะต้องนำตัวเองเข้าไปใกล้ชิดกับวงการธุรกิจ เพื่อใช้สภาพแวดล้อมนั้นๆเป็นที่ฝังตัวในการแตกหน่อภาวะผู้นำในลักษณะที่ต้องการ
3. การรดน้ำพรวนดิน การพัฒนาศักยภาพภาวะผู้นำไม่สามารถทำได้ภายในชั่วข้ามคืนเดียว แต่ต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาฝึกฝน ปรับปรุงแก้ไข เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เราพรวนดินนั้น นอกจากเราจะทำให้ดินร่วนซุยเพื่อให้ต้นไม้ดูดซึมน้ำได้ง่ายแล้ว เราควรจะสังเกตดูด้วยว่าดินประเภทนั้นถูกกับต้นไม้ที่เราปลูกหรือไม่ มีอะไรผิดสังเกตหรือไม่ จะได้แก้ไขได้ทันท่วงที เช่นเดียวกันกับการที่เราคิดว่าเราสามารถฝึกภาวะผู้นำแบบที่เราต้องการได้ แต่เมื่อฝึกไประยะหนึ่งแล้ว อาจจะพบว่าบางสิ่งบางอย่างอาจจะไม่เหมาะกับตัวเราก็ได้ อาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการฝึก การเรียนรู้ หรือสภาพแวดล้อมใหม่
4. การกำจัดแมลงศัตรูพืช อุปสรรคสำคัญในการพัฒนาภาวะผู้นำส่วนมากแล้วไม่ได้อยู่ที่ศัตรูภายนอก แต่มักจะเป็นตัวหนอนที่อยู่ภายในมากกว่า นั่นก็คือ การขาดความมั่นใจในตัวเอง คนหลายคนที่มีศักยภาพมีความสามารถในการเป็นผู้นำที่ดีได้ แต่มักจะขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ขาดความมั่นใจ คิดว่าคนอื่นดีกว่าตัวเอง และบางครั้งก็ไปแคร์ต่อสิ่งแวดล้อมภายนอกมากเกินไป เช่น คนที่ไม่กล้าออกไปพูดต่อหน้าชุมชนเพราะคิดไปก่อนว่าคนที่ฟังเก่งกว่าเรา มีหลายสิ่งหลายอย่างดีกว่าเรา กลัวว่าจะพูดผิดบ้าง กลัวว่าจะพูดไม่ได้ดีบ้าง กลัวว่าจะโดนหัวเราะบ้าง ทั้งๆที่ตัวเองก็พูดเก่ง พูดดีตอนที่อยู่กับเพื่อนๆ อยู่กับลูกน้อง หรืออยู่กับคนที่คิดว่าด้อยกว่าตัวเอง ดังนั้น ศัตรูของการพัฒนาศักยภาพผู้นำตัวที่สำคัญคือ ตัวหนอนที่คอยกัดกินความมั่นใจของเรานั่นเอง
5. การพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ คนที่มีภาวะผู้นำดี มิได้หมายถึงเพียงบุคคลที่มีลักษณะเป็นผู้นำเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องเป็นคนที่มีการพัฒนาศักยภาพของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เช่น สามารถปกครองพนักงานระดับล่างได้แล้ว ก็ต้องพัฒนาตัวเองให้สามารถปกครองพนักงานในระดับสูงขึ้นไปได้ ภาวะผู้นำจะต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะถ้าผู้นำตามโลกไม่ทันหรือตามคนที่เป็นผู้ตามไม่ทัน โอกาสที่ผู้นำคนนั้นจะตกลงมาเป็นผู้ตามก็มีสูงมาก
ดังนั้น การพัฒนาภาวะผู้นำจึงต้องอาศัยองค์ประกอบหลายส่วนทั้งในการกำหนดรูปแบบของผู้นำที่เราต้องการจะเป็น การเลือกสภาพแวดล้อมในการพัฒนาตนเอง การหมั่นฝึกฝนด้วยวิธีการที่เหมาะสม การขจัดปัญหาอุปสรรค รวมถึงการพัฒนาให้มีการยกระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการพัฒนาภาวะผู้นำคือ แรงจูงใจในการสร้างภาวะผู้นำ บางคนมีแรงจูงใจที่จะพัฒนาตัวเองเพราะกำหนดเป้าหมายในชีวิตไว้อย่างชัดเจน บางคนมีแรงจูงใจที่เกิดจากแรงกดดันบางสิ่งบางอย่างและต้องการเอาชนะแรงกดดันนั้นๆ ด้วยการสร้างและพัฒนาภาวะผู้นำขึ้นมาเป็นเกราะคอยปกป้องตัวเอง ผมมีความมั่นใจว่าคนทุกคนมีพื้นฐานของภาวะผู้นำอยู่ในตัวทุกคน แต่สิ่งที่ทำให้ภาวะผู้นำของแต่ละคนมีความแตกต่างกันคือ ความสามารถในการดึงเอาภาวะผู้นำที่มีอยู่ภายในตัวออกมาใช้นั่นเอง
การบริหารองค์กร ผู้จัดการโครงการสิวารัตน์ มีหลักการบริหารโครงการขั้นสูง
โครงสร้างองค์กรแบบแก้ว 3 ดวง
แก้วดวงที่ 1 ตัวองค์กร (ตัวแม่) คือ สิ่งที่ก่อกำเนิดองค์กร
แก้วดวงที่ 2 ตัวหลักการบริหาร (หลัก) คือ ระเบียบปฏิบัติ หรือแนวทางปฏิบัติ ซึ่งเป็นตัวแทนสั่งให้ทำให้ปฏิบัติตาม ประกอบด้วย หลักการบริหาร 3 ส่วน ดังนี้
1. องค์ความรู้ ประกอบด้วย
- มีระเบียบ วินัย ข้อบังคับ
- หลักวิชาพื้นฐานแห่งอาชีพและภารกิจ
- ความรู้ชั้นสูง มีการตลาด การเงิน ผู้นำ การผลิต การสื่อสาร และการวิเคราะห์ผลลัพธ์
2. การปฏิบัติ ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ การกระทำทางกาย การกระทำทางใจ และการกระทำทางปัญญา
3. ผลลัพธ์ ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ ตัวองค์ภูมิปัญญาที่เกิดขึ้น ผลลัพธ์ทางธุรกิจ และการบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์
แก้วดวงที่ 3 ตัวผู้ปฏิบัติการ (คน) ผู้ปฏิบัติการ หรือผู้ที่นำหลักการมาปฏิบัติ หรือเผยแพร่ สั่งสอน หรือชี้นำให้คนอื่นปฏิบัติหรือยอมรับ เพื่อให้ตัวหลักการบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งทำให้องค์กรอยู่รอดอย่างยั่งยืน
หลักบริหารเชิงพุทธ ตัวหลักการบริหารตามแก้วดวงที่ 2 นั้น จะนำมาใช้งานมากที่สุด มี 3 ขั้นตอน
1. องค์ความรู้ (เรียนรู้) สิ่งที่เป็นความรู้ทั่วไปหาได้ในตลาดวิชาการองค์ความรู้ขององค์กรเอง สะสมเองจากผลการปฏิบัติงาน นำความรู้จากคนอื่นโดยใช้ที่ปรึกษาวางแผน เตรียมการ สร้างสิ่งรู้ที่จะทำ
2. การปฏิบัติ (ทำตาม) ปฏิบัติตามองค์ความรู้จากแผนที่จะทำ ซึ่งมีการกระทำ 3 ด้านคือ
(1) ทำทางกาย เช่น ทำด้วยมือ พูดสื่อสาร ความสุจริต
(2) ทำทางใจ เช่น การตั้งมั่นมุ่งเป้า การเตือนตนด้วยสติ การเพียรพยายามให้ของที่จะทำให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
(3) ทำทางปัญญา เช่น ความเห็นถูกต้อง คิดแก้ปัญหาได้
3. ผลลัพธ์ (ผลจากการปฏิบัติตามข้อ 2) (ดูแลผล) เป้าหมายเทียบกับผล ดูการบรรลุผลบทเรียนที่ได้รับทั้งเชิงผลสำเร็จ และความล้มเหลว แล้วทำเป็นภูมิปัญญาองค์กร ผลลัพธ์เชิงธุรกิจเทียบกับวิสัยทัศน์
การใช้สติปัญญาในขณะทำงาน ควรมี 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. การรู้กระบวนงาน ต้องรู้ตั้งแต่การจัดเตรียมอุปกรณ์ ตู้เชื่อม ลวดเชื่อม การจัดเตรียมชิ้นงาน รู้กลไกในการเชื่อม รู้สภาพทางโลหะวิทยา
2. การหยั่งรู้ดีไม่ดี ขณะเชื่อมและหลังเชื่อม สามารถรู้ได้จากรอยเชื่อมนั้นดีหรือไม่ดีและเหมาะกับชิ้นงาน ถ้าไม่ดีจะเชื่อมแก้ให้ดีได้อย่างไร
3. การรู้เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดดีไม่ดี เหตุปัจจัยเชื่อมดีหรือไม่ดีนั้นมาจากเหตุปัจจัยอะไร หรือไม่ถ้ารู้ก็ต้องศึกษาจากตำรา ถามผู้รู้ หรือพิจารณาเอง หรือไล่หาสาเหตุให้ได้
4. สรุปเป็นหลักการ จากการรู้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น การพิจารณาผลงานและทฤษฎีที่ร่ำเรียนมา แล้วสรุปเป็นหลักการความรู้ภูมิปัญญาว่า การเชื่อมที่ดีต้องทำอะไรบ้างเป็นหลักการเอาไว้หลักการแก้ปัญหา
ขั้นตอนการแก้ปัญหามี 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. นิยามปัญหา ปัญหาคือสิ่งที่ได้รับ หรือผลลัพธ์ต่างจากสิ่งที่อยากได้ หรือเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ไม่ว่าจะเป็นด้านที่เป็นบวก และเป็นลบ ทำความเข้าใจลักษณะปัญหาให้ลึกซึ้งเพียงพอ
2. เหตุปัจจัยของปัญหา วิเคราะห์เหตุปัจจัยของปัญหามีอะไรบ้าง เช่น คน เครื่องจักร วัตถุดิบ วิธีการ สภาพแวดล้อม เป็นต้น
3. ตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุ สร้างจุดวัดตรวจดูสภาพปัญหามีมากน้อย ต้องการบรรลุเป้าหมายในเชิงปริมาณ ภายในเวลาที่กำหนด
4. วางมาตรการแก้ไข แก้อาการก่อนเพื่อบรรเทาอาการปัญหาแก้ปัญหาที่สาเหตุรากเหง้าเพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาว
การแก้ปัญหางานใด ๆ นั้น หนีไม่พ้น 3 ทาง หรือ 8 วิธี ดังนี้
ทางที่ 1 การแก้ที่ภูมิปัญญาหรือสมอง
วิธีที่ 1 รู้ดี คือรู้จักปัญหา รู้วิธีไล่หาสาเหตุ มีภูมิปัญญาขององค์กร มีวิธีการแก้ไขตามวิธีมาตรฐาน
วิธีที่ 2 คิดเป็น คือคิดแก้ปัญหาที่เหตุรากเหง้าพึ่งพาตนเองเป็นหลัก คิดปรับปรุง มีแนวคิดเชิงระบบ
ทางที่ 2 การแก้ที่การทำทางกายและวาจา
วิธีที่ 3 ทำดี คือ ทำแต่สิ่งที่มีประโยชน์ พัฒนาปรับปรุง ลดการสูญเสีย ยืดหยุ่นเพียงพอ
วิธีที่ 4 สื่อสารดี คือ สื่อถูกเรื่อง ถูกคน ถูกเวลา ถูกสถานที่ สื่อเร้าใจให้ทำคุณภาพดี
วิธีที่ 5 สุจริต คือ ไม่ทุจริต ซื่อสัตย์ ยุติธรรม ให้ข้อมูลถูกต้อง ไม่ทำอาชีพต้องห้าม
ทางที่ 3 การแก้ที่การทำทางใจ
วิธีที่ 6 พยายามดี คือ ลดสิ่งไม่ดี เพิ่มสิ่งดี รักษาสิ่งดี และป้องกันข้อบกพร่อง
วิธีที่ 7 เตือนตน คือ มีระบบเตือนใจ ทุกขณะจิตที่ทำงาน
วิธีที่ 8 มุ่งเป้า คือ มุ่งจุดไม่กระจาย ไม่ท้อแท้ ทุ่มเท เรียงลำดับความสำคัญ
หลักการสอนงาน หลักการสอนงานมี 3 ขั้นตอน คือ
1. สอนให้รู้ หมายถึง การสอนที่ต้องอดทน จ้ำจี้จ้ำไช พูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนกว่าเขาจะรู้ จะเข้าใจ อาจจะเป็นการพูดบรรยาย การเอาหนังสือให้เขาอ่าน
2. ทำให้ดู หมายถึง มีกิจกรรมลงมือปฏิบัติ โดยการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่สอนแค่บรรยายอย่างเดียว เช่น สอนวิธีการขับรถ ก็ต้องขับให้เขาดู เป็นต้น
3. อยู่ให้เห็น หมายถึง ทำให้เกิดศรัทธาน่าเชื่อถือ ด้วยความซาบซึ้งต่อตัวผู้สอนคนสอนไม่น่าเชื่อถือ ลูกศิษย์เขาไม่ศรัทธา เขาก็ไม่ฟัง เช่น ครูสอนขับรถก็ไม่ควรมีประวัติอุบัติเหตุโชกโชน เป็นต้น
คุณลักษณะวิธีการสอนที่ดี
1. แจ่มชัดเห็นจริงเห็นจัง เรื่องที่สอนนั้นต้องทำให้ชัดเจน แยกแยะ แสดงเหตุผลชัดเจน จนผู้ฟังเข้าใจแจ่มแจ้งเห็นจริงเห็นจังเหมือนเห็นด้วยตา หรือประสบมาด้วยตนเอง
2. ชวนใจให้เห็นคุณค่าหากทำตาม ให้ชวนให้เอาไปปฏิบัติดูแนะนำให้หัดทำ ชี้ให้เห็นประโยชน์เห็นคุณค่า ให้จูงใจจนกว่าจะรับไปปฏิบัติ เช่นจะทำให้งานสะดวกขึ้น ลดอุบัติเหตุลดเวลาทำงาน
3. ปลุกใจให้แกล้วกล้า ให้เร้าใจให้ฮึกเหิมแกล้วกล้า เกิดความกระตือรือร้น อุตสาหะ สู้งานไม่กลัวเหนื่อย ทั้งก่อนทำและขณะทำโดยการพูดเชียร์บ่อย ๆ การร้องเพลงมาร์ชปลุกใจ
4. บำรุงขวัญ ทำให้ผู้ฟังที่จะปฏิบัติตามมีจิตใจสดชื่นเบิกบานเห็นผลดี เห็นประโยชน์ที่จะได้รับ และหนทางก้าวหน้าไปสู่ผลสำเร็จ ซึ่งอาจเป็นตำแหน่งที่ก้าวหน้า โบนัส ได้รับการยกย่องหลักการทำความดีในองค์กร
การสร้างภูมิปัญญาในองค์กร มี 3 ทาง คือ
1. จัดให้มีการฟังองค์ความรู้ คนที่ฟังมาก ย่อมรู้มาก หรือคนที่อ่านมากก็รู้มาก องค์กรควรเชิญวิทยากรที่มีความสามารถมาบรรยายให้ฟังและจัดห้องสมุดหรือคลังสมองในเว็บให้ค้นคว้า
2. จัดให้มีการคิด องค์กรต้องส่งเสริมให้เกิดการคิดระดมสมองซักถามให้รู้ถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นในอดีต และให้ลองประเมินผลลัพธ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ตลอดจนฝึกให้คิดแก้ปัญหางาน และฝึกคิดอย่างมีระบบ
3. จัดให้มีการลงมือทำ องค์กรต้องส่งเสริมให้มีการนำแนวคิดมาทดลองปฏิบัติ วิเคราะห์วิจัย แล้วสรุปบทเรียนที่ได้รับมาเป็นภูมิปัญญาที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจขององค์กรการสร้างความสามัคคีในองค์กร
การที่บุคคลในองค์กรจะมีความสามัคคีเป็นหมู่เหล่า เป็นทีมงานได้นั้น จำเป็นต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยวน้ำใจของกันและกัน ทำให้เกิดความน่านิยมน่านับถือ เกิดความปราถนาดีซึ่งกันและกัน และทำให้องค์กรเป็นปกติสุขสิ่งยึดเหนี่ยวให้บุคคลในองค์กรมีความสามัคคีมี 4 ประการ ดังนี้
1. การให้ คือ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แสดงน้ำใจ เสียสละแบ่งปันกันด้านสิ่งของ เงินทอง ความรู้ ให้ความเคารพ ที่ให้กับคนเสมอกัน ต่ำกว่า หรือสูงกว่าตน ด้วยวิธีการที่เหมาะสม
2. การพูดจาอ่อนหวาน ไพเราะ พูดสร้างความสามัคคีพูดมีเหตุผล จูงใจ ไม่หยาบคาย หรือดุด่า เสียดสี
3. การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หรือบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ร่วมกัน
4. ทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย ในเรื่องทำความดี มีใจร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนอื่นเสมอ ทุกเวลาทุกกรณี เช่น การไปงานแต่งงาน หรืองานศพ ของเพื่อนร่วมงาน
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการทำงานเป็นทีม ผู้จัดการโครงการสิวารัตน์ รู้วิธีการทำงานเป็นทีม
ความหมายของทีมงานและการสร้างทีมงาน
ทีม = กลุ่มของบุคคลที่ทำงานร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในกลุ่ม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
องค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญของทีมงาน
nบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
nบุคคลในกลุ่มต้องปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
nบุคคลในกลุ่มปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างมีแบบแผน
nบุคคลในกลุ่มต้องพึ่งพากันในการปฏิบัติงาน
nบุคคลในกลุ่มถือว่าตนเองเป็นสมาชิกของทีม
nบุคคลในกลุ่มมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายเดียวกัน
nบุคคลในกลุ่มคิดว่าการทำงานร่วมกันทำให้งานเสร็จเร็ว
nบุคคลในกลุ่มมีความสมัครใจที่จะทำงานร่วมกัน
nบุคคลในกลุ่มมีความเพลิดเพลินที่จะทำงานและผลิตผลงานคุณภาพสูง
nบุคคลในกลุ่มพร้อมที่จะเผชิญปัญหาร่วมกัน
การสร้างทีมงาน หมายถึง กลุ่มสามารถเรียนรู้การวินิจฉัยปัญหา ในการทำงานให้ดีขึ้นทั้งเชิงปริมานและเชิงคุณภาพ
วัตถุระสงค์ของการสร้างทีมงาน
nเพื่อสร้างความไว้วางใจกันในหมู่สมาชิก
nเพื่อแสวงหาวิธีการแก้ปัญหาร่วมกัน เปิดเผยและจริงใจต่อกัน
nเพื่อเสริมสร้างทักษะความเชี่ยวชาญให้มากขึ้น
nเพื่อให้ข้อมูลย้อนกลับในทางสร้างสรรค์แก่องค์การ
nเพื่อรับฟังความคิดเห็นและข่าวสารของผู้อื่น และให้เกียรติซึ่งกันและกัน
nเพื่อพัฒนาทักษะในการแก้ปัญหาร่วมกัน
nเพื่อช่วยลดความขัดแย้งระหว่างบุคคล
nเพื่อส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ให้สมาชิกของทีม
nเพื่อเสริมสร้างขวัญและความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน
nเพื่อปรับปรุงการทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดในภาพรวม
ความสำคัญของการสร้างทีมงาน
nงานบางอย่างไม่สามารถทำเสร็จได้เพียงคนเดียว
nระดมบุคลากรเพื่อปฏิบัติงานให้เสร็จทันเวลาที่กำหนด
nงานบางอย่างต้องอาศัยความรู้ความสามารถของหลาย ๆ ฝ่าย
nงานบางอย่างเป็นงานที่มีหลายหน่วยงานรับผิดชอบ
nต้องการความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เพื่อแสวงหาแนวทาง วิธีการ และเป้าหมายใหม่ ๆ
nต้องการสร้างบรรยากาศของความสามัคคี
คุณประโยชน์ของทีมงาน
โดยทั่วไปพบว่าผลการปฏิบัติงานของกลุ่ม/ทีม จะมีประสิทธิผลดีกว่าการทำงานโดยลำพัง มีการระดมความคิด ร่วมกันตัดสินใจ สามารถขจัดความขัดแย้งหรือปัญหาต่าง ๆ ได้ ถ้าปราศจากการร่วมมือกันระหว่างคนเราแล้ว กลุ่มและองค์การทั้งหลายย่อมอยู่รอดไม่ได้
ข้อควรระวังในการใช้ทีมงาน
nเมื่อมีการตัดสินใจบางอย่างบุคคลจะมีพฤติกรรมที่เข้มข้นหรือรุนแรงมากกว่าอยู่ตามลำพัง
nส่วนใหญ่จะเกี่ยงงานหรือความรับผิดชอบตลอดจนการออมแรงทางสังคม
nมีความเชื่อว่าสามรถปกปิดตนเองได้ ไม่มีใครรู้จัก จะแสดงพฤติกรรมที่ก่อความรำคาญ ป่าเถือน วุ่นวายได้กว่าปกติ
nกลุ่มมักมีอิทธิพลต่อสมาชิกให้คล้อยตาม หรือเชื่อฟังได้มาก เอกลักษณ์เฉพาบุคคลจะมีลดน้อยลงเมื่ออยู่ในกลุ่ม
ประเภทของทีมงาน
การจัดแบ่งทีมงานออกเป็นประเภทต่าง ๆมีวิธีการในการจัดแบ่งหลายวิธีด้วยกัน ขึ้นอยู่กับแนวคิดเฉพาะแบบของแนวคิดนั้น เช่น กลุ่มตามแนวคิดด้านสังคมวิทยา หรือกลุ่มตามแนวจิตวิทยาสังคม เป็นต้น ตามแนวคิดทางด้านสังคมวิทยามักจะแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มปฐมภูมิ (primary group) และกลุ่มทุติยภูมิ (Secondary group) ทางด้านจิตวิทยาสังคมมักแบ่งเป็นกลุ่มสมาชิก (Membership group) และกลุ่มอ้างอิง(Reference group) เป็นต้น
รูปแบบการทำงานเป็นทีม
ในการทำงานเป็นทีม นอกจากมีการแบ่งงานและการประสานงานแล้ว ยังต้องมีการกำหนดหน้าที่ ความรับผิดชอบของสมาชิกในกลุ่มให้ชัดเจน เพื่อป้องกันความสับสน หากจัดรูปแบบของการบริหารอย่างเป็นทางการ
เป้าหมายสำคัญประการหนึ่งของทีมงาน คือ การพร้อมใจกันคิดหาวิธีการที่จะปรับปรุงแก้ไขกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ขนาดของกลุ่มที่ดีมักจะมีสมาชิกตั้งแต่ 3-10 คน ทีมขนาดเล็กมักจะมีความเหนียวแน่นมากกว่ากลุ่มที่มีขนาดใหญ่ เพราะว่ากลุ่มขนาดใหญ่ติดต่อสื่อสารกันได้ลำบาก และเกิดกลุ่มขนาดเล็กซ้อนอยู่ภายในซึ่งโดยธรรมชาติต้องแข่งขันกัน แย่งผลประโยชน์กัน ทำให้ความเหนียวแน่นในกลุ่มตกต่ำไป
โครงสร้างของทีมงาน
nสถานภาพ (Status) หมายถึง ตำแหน่งทางสังคม หรือตำแหน่งอื่น ในกลุ่มคนที่จะมาอยู่ร่วมกัน
nบทบาท (Role) หมายถึง พฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ครอบครองอยู่
nปทัสถาน (Norms) หมายถึง กฎเกณฑ์ที่สมาชิกกลุ่มพึงปฏิบัติตาม เพื่อทำให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกเป็นไปโดยราบรื่นและเสมอต้นเสมอปลาย
nการสื่อสาร ( Communication) หมายถึง การแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างบุคคล ถ้าไม่มีการสื่อสารความเป็นกลุ่มจะเกิดขึ้นไม่ได้
nปัจจัยเสริมสร้างความเข้มแข็ง
โดย ศ.ดร. เรวัตร์ ชาตรีวิศิษฏ์
ดร. สมัย เหมมั่น เรียบเรียง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น